แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ฟลูออรีน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ฟลูออรีน แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2562

การเลือกวัสดุสำหรับ F2 และ HF MO Memoir : Wednesday 30 October 2562


วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๒ รัฐมนตรีกระทรวบเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม ของญี่ปุ่น ประกาศว่าทางญี่ปุ่นจะเข้มงวดการส่งออกสินค้าสำคัญ ๓ ตัวไปยังเกาหลีใต้คือ Fluorinated polyimide ที่ใช้ในการผลิตจอแสดงภาพโทรศัพท์มือถือและชิ้นส่วนต่าง ๆ, Photoresist (สารไวแสง) ที่ใช้ในการผลิตซับเทรตสารกึ่งตัวนำ และ Hydrogen fluoride (HF) ที่ใช้ในการล้างสารกึ่งตัวนำ ประกาศดังกล่าวส่งผลกระเทือนอย่างรุนแรงต่อทั้งรัฐบาลและภาคอุตสาหกรรมของเกาหลีใต้ เพราะสารสองตัวแรก (Fluorinated polyimide และ Photoresist) ญี่ปุ่นเป็นผู้ผลิตเกือบ 100% ของตลาดโลก ส่วน (HF) นั้นญี่ปุ่นก็มีส่วนแบ่งของผู้ผลิตในตลาดโลกถึง 70% (รูปที่ ๑)
  
ข่าวไม่มีการให้รายละเอียดว่า HF นั้นเป็นเกรดใด แต่ HF ที่ใช้ในการล้างสารกึ่งตัวนำน่าจะเป็นเกรดที่เรียกว่า 12N (อ่านว่า twelve nine) คือเกรดที่มีความบริสุทธิ์ 99.9999999999 (99 จุด 9 อีก 10 ตัว)

แม้ว่าแก๊ส Hydrogen fluoride (HF) หรือกรด Hydrofluoric ที่เป็นสารละลายในน้ำของ HF จะเป็นที่รู้จักกันมานาน แต่การศึกษาเพื่อหาประโยชน์ในการใช้งานก็ต้องล่าช้าเป็นเวลานาน นั่นก็เป็นเพราะฤทธิ์กัดกร่อนที่สูงของกรด HF ที่สามารถกัดได้แม้แต่แก้ว (ที่ถือว่าเป็นวัสดุที่มีความเฉื่อยสูงมากตัวหนึ่งในห้องปฏิบัติการเคมี) ด้วยเหตุนี้กว่าที่จะมีการผลิต HF และ F2 ได้ในปริมาณมากเพื่อที่จะนำมาใช้ในภาคอุตสาหกรรม ก็ต้องรอจนล่วงพ้นต้นศตวรรษที่ ๒๐ มาพักใหญ่จนกระทั่งมีการพัฒนาทางด้านวัสดุศาสตร์ที่สามารถหาวัสดุที่ทนต่อการกัดกร่อนของสารทั้งสองได้
  
เหตุการณ์สองเหตุการณ์สำคัญที่เกิดในเวลาไล่เลี่ยกันที่น่าจะเป็นตัวที่ทำให้มีการผลิต HF และ F2 เพื่อการใช้งานในระดับอุตสาหกรรมในปริมาณมากเห็นจะได้แก่ การค้นพบพอลิเมอร์ตระกูล fluorocarbon โดยเฉพาะตัว Polytetra-fluoroethylene (PTFE) ที่มีชื่อทางการค้าว่า TEFLON ในปีค.ศ. ๑๙๓๘ (พ.ศ. ๒๔๘๑) และการเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ ที่นำไปสู่ Manhattan Project ที่เป็นโครงการผลิตระเบิดนิวเคลียร์ลูกแรกของโลก การค้นพบพอลิเมอร์ตระกูลฟลูออโรคาร์บอนทำให้มีวัสดุสำหรับเคลือบผิวอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้ทนต่อการกัดก่อนของ HF และ F2 ที่จำเป็นสำหรับสังเคราะห์สารประกอบ UF6 ที่ต้องใช้ในการแยกไอโซโทป U-235 ออกจาก U-238
  
ข้อมูลจาก Wikipedia บอกว่า Uranium tetrafluoride (UF4) หลอมเหลวที่ 1036ºC และเดือดที่ 1417ºC แต่พอเป็น Uranium hexafluoride (UF4) อุณหภูมิจุดหลอมเหลวกลับลดลงเหลือ 64.05ºC และเดือดที่ 56.5ºC ซึ่งจะว่าไปแล้ว UF6 มันสามารถระเหยกลายเป็นไอได้ที่อุณหภูมิสูงกว่าอุณหภูมิห้องไม่มากด้วยซ้ำ
  
ด้วยการที่ UF6 กลายเป็นไอได้ที่อุณหภูมิไม่สูง การแยกเอาไอโซโทป U-235 ออกจาก U-238 จึงอาศัยการเปลี่ยนสารประกอบยูเรเนียมให้กลายเป็น UF6 ก่อน โดยกระบวนการเริ่มจากการนำเอา UO2 (Uranium dioxide) มาทำปฏิกิริยากับ Anhydrous HF ก็จะได้ UF4 ที่เป็นของแข็งและไอน้ำเป็นผลพลอยได้ จากนั้นจึงค่อยนำเอา UF4 มาทำปฏิกิริยาต่อกับแก๊สฟลูออรีนอีกที ก็จะได้สารประกอบ UF6 รูปที่ ๒ เป็นแผงผังกระบวนการเปลี่ยน UO2 ให้กลายเป็น UF4 ที่เกิดขึ้นในฟลูอิไดซ์เบด
  
เอกสาร "Nickel-containing alloys in hydrofluoric acids, hydrogen fluoride, and fluorine" (รูปที่ ๓) กล่าวว่าปฏิกิริยาของ UO2 กับ HF เพื่อเปลี่ยนเป็น UF4 นั้นกระทำในถังปฏิกรณ์ที่ทำจาก Alloy 600 (N06600) ที่อุณหภูมิ 600ºC (มีน้ำเกิดขึ้นด้วย) ส่วนการเปลี่ยน UF4 เป็น UF6 นั้นอาศัยการทำปฏิกิริยาที่อุณหภูมิ 500ºC ในถังปฏิกรณ์แบบฟลูอิไดซ์ที่ทำจาก Alloy 400 กรด HF ที่เหลือจากการทำปฏิกิริยาจะถูกควบแน่นในเครื่องควบแน่นที่ทำจาก Alloy 400
     
รูปที่ ๑ ข่าวจาก The Yomiuri Shimbun กล่าวถึงการควบคุมการส่งออกวัสดุสำคัญ ๓ ตัวไปยังเกาหลีใต้ของประเทศญี่ปุ่น

แม้ว่าในอุตสาหกรรมกลั่นน้ำมันเองก็มีการใช้กรด HF ในปฏิกิริยา alkylation ที่เป็นการนำเอาโมเลกุลขนาดเล็กสองโมเลกุลมาต่อเข้าด้วยกันกลายเป็นโมเลกุลกิ่งก้านที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อให้ใช้การเพิ่มเลขออกเทนให้กับน้ำมันเบนซิน แต่ด้วยการที่ทั้ง HF (ในรูป anhydrous หรือปราศจากน้ำที่ย่อว่า AHF) และแก๊ส F2 นอกจากจะมีฤทธิ์กัดกร่อนที่รุนแล้วแล้วก็มีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับการเพิ่มความเข้มข้น U-235 เพื่อนำไปผลิตเป็นเชื้อเพลิงนิวเคลียร์หรือระเบิดนิวเคลียร์ จึงอาจเป็นด้วยสาเหตุที่ทำให้ความรู้เกี่ยวกับการผลิต การใช้งาน และการทำงานกับ HF และ F2 (โดยเฉพาะพวกที่มีความเข้มข้นสูง) นั้นไม่ค่อยมีการเปิดเผยกันอย่างแพร่หลาย ตัวอุปกรณ์กระบวนการผลิตต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง (ไม่ว่าจะเป็นการผลิต HF และ F2 หรือการนำเอาสารทั้งสองไปใช้งาน) จึงได้รับการควบคุมที่เข้มงวดมากด้วยเมื่อเทียบกับกรณีของคลอรีน
  
รูปที่ ๒ แผนผังกระบวนการผลิต Uranium tetrafluoride (UF4) จากบทความเรื่อง "The Design of Plants for Handling Hydrofluoric Acid" โดย K.M. Hill, Symposium on Process Hazards (1960: Instn Chem. Engrs)

เนื้อหาการเลือกวัสดุสำหรับฟลูออรีน ไฮโดรเจนฟลูออไรด์ และกรดไฮโดรฟลูออริก ที่นำมาเขียนบทความนี้นำมาจากเอกสารคู่มือการเลือกใช้โลหะผสมที่จัดทำโดย Nickel Development Institute ที่แสดงในรูปที่ ๓ ซึ่งจะเรียกว่าเป็นตอนต่อจากฉบับที่แล้วที่เป็นเรื่องของ คลอรีน ไฮโดรเจนคลอไรด์ และกรดไฮโดรคลอรีน ก็ได้
    
รูปที่ ๓ เอกสาร Nickel-containing alloys in hydrofluoric acids, hydrogen fluoride, and fluorine ดาวน์โหลดได้ที่ https://www.nickelinstitute.org/media/1828/thecorrosionresistanceofnickel_containingalloysinhydrofluoricacid_hydrogenfluoride_andfluorine_10074_.pdf ที่ใช้เป็นต้นเรื่องในการเขียนบทความนี้
   
รูปที่ ๔ ตารางชื่อโลหะผสม (อิงตาม Unified Numbering System - UNS ซึ่งจะแตกต่างไปจากชื่อการค้าที่เรียกกันในท้องตลาดอยู่) และอัตราส่วนผสม รูปที่ ๓ - ๘ ต่างก็นำมาจากเอกสารฉบับนี้

ความแตกต่างอย่างหนึ่งของการได้มาซึ่งแก๊สฟลูออรีนที่แตกต่างไปจากคลอรีนคือ ในขณะที่เราสามารถผลิตแก๊สคลอรีนได้โดยตรงจากปฏิกิริยาอิเล็กโทรไลซิส NaCl นั้น (แล้วจึงค่อยเอา Cl2 ที่ได้ไปผลิตเป็น HCl หรือจะไม่ผลิตก็ได้) ฟลูออรีนกลับได้มาจากปฏิกิริยาอิเล็กโทรไลซิแอนไฮดรัสไฮโดรเจนฟลูออไรด์ในสารละลายเกลือหลอมเหลว KF.HF (โพแตสเซียมฟลูออไรด์กับไฮโดรเจนฟลูออไรด์) กล่าวคือต้องผลิตกรด HF ก่อนแล้วจึงค่อยได้ F2 ดังนั้นโรงงานผลิต F2 จึงต้องใช้วัสดุที่ต้องทนได้ตั้งแต่กรด HF เจือจางไปจนถึงแก๊ส F2 บริสุทธิ์
   
ในเอกสารที่นำมาเป็นต้นเรื่องนั้นยังกล่าวไว้ด้วยว่ารายละเอียดของกระบวนการผลิตไฮโดรเจนฟลูออไรด์นั้นถูกปกปิดเอาไว้มาก ที่เปิดเผยออกสู่สาธารณะนั้นมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น รูปที่ ๕ เป็นแผนผังอย่างง่ายกระบวนการผลิต โดยเริ่มจากการนำเอาสินแร่ Fluorospar (calcium fluoride CaF2) มาทำปฏิกิริยากับกรดกำมะถันเข้มข้น (Oleum - H2SO4.SO3) ใน Kiln reactor (6) ที่อุณหภูมิ 150ºC ปฏิกิริยาระหว่างกรดกำมะถันและ Fluorospar จะเปลี่ยน CaF2 เป็น CaSO4 พร้อมกับเกิดแก๊ส HF แก๊ส HF ที่เกิดขึ้นจะเข้าสู่หอชะ (2) ที่จะผ่านการชะด้วยกรดกำมะถันอีกครั้งก่อนจะถูกนำไปเก็บเป็น crude HF ที่ความเข้มข้นประมาณ 80% ก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการกลั่นเพื่อให้ได้ HF บริสุทธิ์ 99.9%
   
พึงสังเกตว่าส่วนที่เกี่ยวข้องกับกรดที่ไม่มีความชื้นนั้น (เช่น (1), (2) และ (10)) สามารถใช้ carbon steel มาขึ้นรูปอุปกรณ์ได้ (รวมทั้งระบบท่อด้วย)
   
รูปที่ ๕ แผนผังกระบวนการผลิตไฮโดรเจนฟลูออไรด์โดยเริ่มจากสินแร่ Fluorospar และชนิดโลหะที่ใช้ในการขึ้นรูปอุปกรณ์ต่าง ๆ คำว่า "line" คือการบุผนังด้านในที่สัมผัสกับสาร ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้วัสดุที่ทนการกัดกร่อนขึ้นรูปอุปกรณ์ทั้งชิ้น สามารถใช้วัสดุธรรมดาขึ้นรูปอุปกรณ์ได้ เพียงแต่เคลือบหรือบุผนังด้านที่สัมผัสกับสารด้วยวัสดุที่ทนการกัดกร่อน

รูปที่ ๖ และ ๗ ให้รายละเอียดชนิดโลหะที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานกับสารละลายกรด HF ที่ความเข้มข้นและอุณหภูมิต่างๆ เอกสารที่นำมาเป็นต้นเรื่องนั้นยังกล่าวไว้ด้วยว่า Alloy 400 จัดว่าเป็นโลหะผสมที่เหมาะสมเพราะทนต่อกรดในช่วงอุณหภูมิและความเข้มข้นที่กว้าง (จะเป็นรองก็แค่ พลาทินัม ทองคำ และเงิน ซึ่งก็คงไม่มีใครเอามาทำเป็นอุปกรณ์การผลิต) แต่ทั้งนี้อาจเกิด stress-corrosion cracking (SCC) ได้ในสภาวะที่มีความชื้นร่วมกับออกซิเจน (คือมีความชื้นอย่างเดียวไม่เป็นไร แต่ถ้ามี O2 ปนด้วยจะมีปัญหา) วัสดุพวกสแตนเลสสตีล (เช่น 304, 316) นั้นแม้ว่าจะทนต่อ Anhydrous HF (AHF) แต่ไม่สามารถนำมาใช้งานได้อย่างไว้วางใจได้กับกรดเจือจาง แม้ว่าจะมีบางกรณีที่สามารถนำมาใช้กับกรด HF เจือจางที่อุณหภูมิห้องได้ โลหะนิเกิลผสมสูง (เช่น Alloy 200) ทนต่อ HF ความเข้มข้นต่ำกว่า 20% และถูกนำมาใช้ทำ rupture disk สำหรับ AHF แต่ก็มีราคาสูง ในขณะที่ Alloy 600 นั้นจะใช้ในกระบวนการผลิตได้ที่อุณหภูมิสูงถึง 600ºC หรือใช้แทน Alloy 400 ในวาล์ว เพราะ Alloy 400 มีความเสี่ยงที่จะเกิด stress-corrosion cracking ได้
    
รูปที่ ๖ การเลือกชนิดโลหะให้เหมาะสมกับช่วงการทำงาน (ดูรูปที่ ๗ ประกอบ)
   
Carbon steel นั้นเหมาะสำหรับใช้ทำภาชนะเก็บ HF ที่ความเข้มข้นสูงเกินกว่า 64% เพราะถ้าความเข้มข้นของกรดนั้นลดต่ำกว่า 60% ตัวโลหะจะถูกกัดกร่อนอย่างรวดเร็ว แต่ทั้งนี้อุณหภูมิไม่ควรจะสูงเกินกว่า 32ºC สำหรับสารละลายกรด HF และไม่ควรสูงเกินกว่า 65ºC สำหรับ AHF การที่ carbon steel ทนต่อ HF ได้นั้นเป็นเพราะเมื่อแรกเริ่มที่มันสัมผัสกับ HF เนื้อโลหะที่สัมผัสกับกรดจะกลายเป็นสารประกอบ FeF3 ปิดคลุมผิวเป็นชั้นฟิล์มป้องกันเอาไว้ ทำให้การทำปฏิกิริยายุติ ด้วยเหตุนี้ก่อนใช้งาน vessel จึงควรทำการ pre-passivated ด้วย AHF ประมาณ ๑ วันก่อนการใช้งาน และในระหว่างการใช้งานไม่ควรให้อัตราการไหลสูงเกินกว่า 0.5 m/s เพื่อไม่ให้ชั้นฟิล์มป้องกันถูกชะออกไป
   
รูปที่ ๗ รายละเอียดโลหะที่เหมาะสมสำหรับแต่ละโซนในรูปที่ ๖
    
รูปที่ ๘ ตารางแสดงอัตราการกัดกร่อนของ Alloy 400 ในกรด HF ที่อุณหภูมิและสภาพแวดล้อมต่าง ๆ
     
ความเร็วในการไหลนั้นขึ้นอยู่กับพื้นที่หน้าตัด และในระบบท่อนั้นพื้นที่หน้าตัดของตัวอุปกรณ์บางตัวที่อยู่ในระบบท่อ เช่น globe valve จะมีขนาดเล็กกว่าของท่อ หรือในกรณีของปั๊มหอยโข่งนั้นที่อาศัยการเหวี่ยงของเหลวให้มีความเร็วสูงขึ้นเพื่อเปลี่ยนพลังงานจลน์เป็นพลังงานศักย์ หรือในกรณีของใบพัดกวนที่ของเหลวบริเวณใบพัดจะมีความเร็วที่สูง หรือความเร็วของของเหลวที่ไหลผ่านท่อของเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน หรือความเร็วของแก๊สที่ไหลผ่าน bubble cap ของหอกลั่น ความเร็วของของเหลวที่สัมผัสกับตัวอุปกรณ์เหล่านี้มีโอกาสที่จะสูงเกินกว่า 0.5 m/s ได้ วัสดุที่อาศัยการเกิดชั้นฟิล์มป้องกันทำหน้าที่ป้องกันการกัดกร่อนจึงไม่เหมาะที่จะนำมาใช้ทำชิ้นส่วนอุปกรณ์เหล่านี้ก็เพราะความเร็วการไหลที่สูงจะคอยชะชั้นฟิล์มป้องกันออกไป
    
แก้วและวัสดุที่มีซิลิกาเป็นองค์ประกอบนั้น แม้ว่าจะทนกรดต่าง ๆ ได้ดี (ไม่ว่าจะเจือจางหรือเข้มข้น) แต่ไม่เหมาะสมกับ HF ที่ได้ชื่อว่าเป็น "กรดกัดแก้ว"
    
แก๊สฟลูออรีนมีคุณสมบัติคล้ายคลอรีนตรงที่ในสภาพที่แห้งนั้นไม่ค่อยมีฤทธิ์กัดกร่อนทั้งโลหะและโลหะผสม carbon steel และเหล็กกล้าไร้สนิม 18-8 สามารถใช้งานได้ที่อุณหภูมิสูงถึง 300ºC แต่ถ้าเมื่อใดที่มีความชื้น ฟลูออรีนจะมีฤทธิ์กัดกร่อนที่รุนแรง และควรใช้โลหะผสมในกลุ่ม Alloy 400 และนิเกิล 200 ที่สามารถใช้งานได้ที่อุณหภูมิสูงถึง 500ºC

ที่มาของบทความชุด "การเลือกวัสดุสำหรับ Cl2 และ HCl" (ฉบับที่แล้ว) และ "การเลือกวัสดุสำหรับ F2 และ HF" (ฉบับนี้) เกิดจากการที่ได้เข้ารับการอบรมเรื่องการประเมินผู้ใช้งานสินค้าที่ใช้ได้สองทางเมื่อช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา โดยในการอบรมดังกล่าวมีแบบฝึกหัดหนึ่งที่หน่วยงานเทศบาลแห่งหนึ่งของซื้อวาล์วขนาด 1/2 นิ้วที่มีโลหะ Monel เป็นองค์ประกอบตรงส่วนที่เป็น bellow (ที่ป้องกันการรั่วไหลตรงบริเวณ stem ของวาล์ว โดย Monel นี้เป็นวัสดุควบคุม) โดยอ้างว่าเป็นวาล์วใช้สำหรับแก๊สคลอรีนที่ใช้เพื่อการบำบัดน้ำเสีย ว่าคำขอซื้อดังกล่าวสมเหตุสมผลหรือไม่
   
แต่ก่อนอื่นเราลองทำความรู้จัก bellow seal valve กันก่อนดีไหมครับ ขอให้ดูรูปที่ ๙ ในหน้าถัดไปประกอบ
   
เวลาที่เราหมุน hand wheel (ตัวสีน้ำเงินบนสุด) นั้น ตัว stem (สีฟ้า) จะเคลื่อนตัวขึ้นหรือลงขึ้นกับทิศทางการหมุน hand wheel ของเรา ซึ่งการเคลื่อนตัวขึ้น-ลงของตัว stem นี้จะไปทำให้ตัว plug (สีเขียว) ที่ใช้อุดรูการไหลนั้นยกตัวขึ้น-ลงตามไปด้วย เพื่อที่จะให้ตัว stem นั้นเคลื่อนที่ขึ้นลงได้สะดวกโดยมีความเสียดทานต่ำแต่ในขณะเดียวกันก็ต้องสามารถป้องกันการรั่วไหลของ process fluid ออกทางช่องทางการเคลื่อนที่ของตัว stem จึงจำเป็นต้องมี packing (ซึ่งก็คือปะเก็นที่เห็นเป็นสีน้ำเงินอยู่ตรงกลางรูป) อัดเอาไว้เพื่อป้องกันการรั่วไหล ซึ่งในความเป็นจริงนั้นก็อาจมีการรั่วไหลได้บ้างในปริมาณเล็กน้อยที่ยากจะสังเกตหรือรู้สึกได้ ซึ่งถ้าสารนั้นไม่ใช่สารที่เป็นพิษอะไร ก็อาจจะยอมปล่อยให้มันฟุ้งกระจายหายไป
   
แต่ในกรณีที่ process fluid นั้นเป็นสารที่มีความเป็นพิษสูง การรั่วไหลตรงตำแหน่งนี้แม้ว่าจะมีปริมาณน้อยมากก็อาจทำอันตรายแก่ผู้ปฏิบัติงานได้ จึงจำเป็นต้องหาวิธีการปิดกั้นการรั่วไหลตรงบริเวณนี้ วิธีการหนึ่งที่ทำได้ก็คือการติดตั้ง bellow (ตัวสีชมพูที่มีลักษณะเป็นท่อที่ยืดหยุ่นได้) โดยปลายด้านหนึ่งของ bellow จะยึดตรึงเข้ากับส่วน bonnet วาล์ว (ลำตัวครึ่งบน) และปลายอีกด้านหนึ่งนั้นจะยึดตรึงอยู่กับส่วน plug
   
ด้วยการที่มันต้องยืดหยุ่นได้ ผนังของตัว bellow เองจึงไม่ได้หนาอะไร แต่ในขณะเดียวกันมันยังต้องทนต่อความดันและอุณหภูมิของ process fluidได้ด้วย วัสดุที่ใช้ทำ bellow จึงต้องมีความพิเศษหน่อย เรียกว่าอาจเป็นคนละชนิดกับที่ใช้ทำลำตัววาล์วและ plug เลยก็ได้
  
ในแบบฝึกหัดดังกล่าวมีหลายประเด็นที่ขอให้ทำการพิจารณาเช่น
  
- กระบวนการบำบัดน้ำเสียนั้นมีความจำเป็นต้องใช้คลอรีนเหลวหรือไม่
- ผู้ที่ขอซื้อวาล์วนั้นมีตัวตนจริงทำงานเกี่ยวข้องกับการบำบัดน้ำเสียหรือไม่
- จำนวนและขนาดของวาล์วนั้นสมเหตุสมผลกับงานดังกล่าวหรือไม่
- ราคาต่อหน่วยของวาล์วนั้นสมเหตุสมผลหรือไม่
   
รูปที่ ๙ ตัวอย่าง Bellow seal valve (รูปจาก http://bellowseal.com/products.html)

การพิจารณาตามประเด็นต่าง ๆ นั้นพบว่า การบำบัดน้ำเสียก็อาจมีการใช้คลอรีนช่วยฆ่าเชื้อโรคก่อนปล่อยออกสู่แหล่งธรรมชาติ หากน้ำเสียนั้นมีเชื้อโรคที่เป็นอันตรายปะปนอยู่ ผู้ที่ขอซื้อนั้นมีตัวตนจริงและมีการทำงานที่เกี่ยวข้องกับการบำบัดน้ำเสีย ขนาดและจำนวนของวาล์วที่ขอซื้อเพื่อนำไปเปลี่ยนทดแทนนั้นก็เหมาะสมกับขนาดกระบวนการ และราคาต่อหน่วยของวาล์วก็สมเหตุสมผล (คือถ้าพบว่าราคามันแพงเกินควรก็อาจสงสัยว่าเป็นการซื้อของคุณภาพสูงแต่อ้างเป็นของคุณสมบัติต่ำ จะได้ไม่โดนตรวจสอบ) ซึ่งก็ผ่านทุกประเด็น
  
แต่สิ่งหนึ่งที่ผมได้ตั้งประเด็นถามเอาไว้คือ ผมรู้สึกว่าวาล์วนั้นมันดีเกินไป จริงอยู่ที่ว่ามันใช้กับคลอรีนเหลวได้ แต่ในขณะเดียวกันมันก็ใช้กับฟลูออรีนได้ และอาจใช้งานได้ที่อุณหภูมิสูงด้วย (ที่ไม่ใช่อุณหภูมิการทำงานของระบบฆ่าเชื้อโรคในน้ำ) และเพื่อที่จะคลี่คลายข้อสงสัย ก็เลยต้องมีการส่งข้อความไปถามวิศวกรท่านหนึ่งที่ทำงานอยู่ในโรงงานที่มีการผลิตแก๊สคลอรีนเพื่อนำไปผลิตเป็นไวนิลคลอไรด์ คำถามที่ผมถามเขาไปก็คือ
  
๑. สำหรับการใช้งานที่อุณหภูมิห้อง (เช่นระบบน้ำประปา หรือฆ่าเชื้อโรคในน้ำทิ้ง) สามารถใช้ diaphragm valve ได้หรือไม่ครับ
๒. ในกรณีของวาล์วโลหะ จำเป็นไหมครับที่ต้องใช้โลหะพวก Monel (หรือ Alloy 400)
  
ส่วนคำตอบที่ได้รับกลับมาก็คือ
  
ข้อ ๑ สำหรับที่โรงงานมีใช้เป็น ball valve กับ globe valve สำหรับ line liquid ครับ ถ้า diaphragm จะใช้กับ gas phase
ข้อ ๒ โลหะที่โรงงานส่วนใหญ่เป็น carbon steel ธรรมดาเลยครับ
ถ้าพวก special model จะเป็นพวก line ที่มีความเสี่ยง กับความชื้น

 ........ จบ

วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

Halogenation ของ alkane MO Memoir : Wednesday 12 February 2557

สำหรับการเรียนอินทรีย์เคมีนั้น สารตัวแรกที่เรียนกันหรือมักปรากฏในบทแรก ๆ ของตำราคือไฮโดรคาร์บอนอิ่มตัว ซึ่งอาจเรียกว่าเป็น saturated hydrocarbon หรืออัลเคน (alkane) หรือในตำราเก่า ๆ จะเรียกว่า paraffin คำว่า paraffin นี้มาจากคำภาษาละติน parum ซึ่งแปลว่า "ไม่ดึงดูด" หรือ "เฉื่อย" นั่นเอง ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของสารประกอบตระกูลนี้ที่ไม่ค่อยทำปฏิกิริยากับสารอื่นได้ง่าย เว้นแต่กับสารที่มีความว่องไวสูงเช่นธาตุในหมู่ฮาโลเจน
 
ถ้าเราไปเปิดดูตำราในส่วนของการทำปฏิกิริยากับธาตุฮาโลเจนของอัลเคนนั้น จะเห็นว่าเน้นการยกตัวอย่างปฏิกิริยากับ Cl2 หรือ Br2 เป็นหลัก ส่วนปฏิกิริยากับ F2 หรือ I2 นั้นไม่ค่อยได้รับการกล่าวถึง ทั้งนี้เป็นเพราะปฏิกิริยาของอัลเคนกับ F2 โดยตรงนั้นเกิดขึ้นรุนแรง ยากแก่การควบคุม ในขณะที่ I2 ไม่ทำปฏิกิริยากับอัลเคน
 
ปฏิกิริยาระหว่างอัลคีนกับฮาโลเจนภาษาอังกฤษเรียกว่า halogenation การดำเนินไปข้างหน้าของปฏิกิริยานั้นอยู่ในรูปของอนุมูลอิสระ (free radical) ตัวอย่างเช่นปฏิกิริยาระหว่าง CH4 กับ Cl2 มีการดำเนินไปของปฏิกิริยาดังนี้
 
ในขั้นตอนแรกเป็นการกระตุ้นให้โมเลกุล Cl2 แตกออกเป็นอะตอม Cl ก่อนโดยใช้แสงหรือความร้อนช่วย

ขั้นตอนที่สองเป็นขั้นตอนที่อะตอม Cl ที่เกิดขึ้นไปดึงอะตอม H ออกจากโมเลกุล CH4 เกิดเป็น HCl และ methyl free radical


ขั้นตอนที่สามเป็นขั้นตอนที่ methyl free radical ทำปฏิกิริยากับโมเลกุล Cl2 อีกอะตอมหนึ่ง เกิดเป็นสารประกอบ monochloromethane กับอะตอม Cl ที่สามารถไปทำปฏิกิริยากับโมเลกุล CH4 โมเลกุลอื่นในขั้นตอนที่สอง

ข้อมูลในตารางที่ ๑ แสดงการเปลี่ยนแปลงพลังงานของปฏิกิริยา Halogenation ของ CH4 กับธาตุฮาโลเจนต่าง ๆ จะเห็นว่าในกรณีของ I2 นั้นแม้ว่าพลังงานที่ต้องใช้ในการทำให้โมเลกุลไอโอดีนแตกออกเป็นอะตอมไอโอดีนจะไม่มากเหมือนกรณีของคลอรีน แต่พลังงานที่ต้องใช้ในการทำให้เกิด methyl free radical ด้วยอะตอมไอโอดีนนั้นสูงกว่าธาตุฮาโลเจนตัวอื่นมาก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ในภาวะปรกติ I2 จะไม่ทำปฏิกิริยา halogenation กับสารประกอบอัลเคน การเตรียมสารประกอบ alkyl iodide จึงต้องใช้วิธีการอื่นที่ไม่ใช่การ halogenation โดยตรง


ส่วนกรณีของ F2 นั้น ในขั้นตอนที่ 2 และ 3 นั้นมีการคายพลังงานออกมามาก จึงทำให้ปฏิกิริยาระหว่างอัลเคนกับ F2 เกิดขึ้นรุนแรง ยากต่อการควบคุม เรื่องของฟลูออรีนนี้เคยกล่าวไว้ใน Memoir ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๙๒ วันจันทร์ที่ ๒๑ ธันวาคม พ.. ๒๕๕๒ เรื่อง "ฟลูออรีนหายไปไหน" ครั้งหนึ่งแล้ว

ปฏิกิริยาของอีเทน (ethane - H3C-CH3) กับคลอรีน ก็ดำเนินไปในรูปแบบเดียวกันดังนี้
 
 
ทีนี้เราลองมาพิจารณากรณีของโพรเพน (propane - H3C-CH2-CH3) กันบ้าง สำหรับการเกิดปฏิกิริยาในขั้นตอนที่ 2 และขั้นตอนที่ 3

ในกรณีของโพรเพน ตำแหน่งอะตอม H ที่สามารถทำปฏิกิริยาในขั้นตอนที่ 2 นั้นมีอยู่ด้วยกัน 2 ตำแหน่ง ตำแหน่งแรกคืออะตอม H ที่อยู่ที่อะตอม C ตัวกลาง (หมู่ methylene หรือ -CH2-) ซึ่งมีอะตอม H อยู่ 2 ตัว ตำแหน่งที่สองคืออะตอม H ที่อยู่ที่อะตอม C ที่ปลายโซ่ทั้งสองข้าง (หมู่ methyl หรือ -CH3) ซึ่งมีอะตอม H อยู่ 6 ตัว ถ้าปฏิกิริยาในขั้นตอนที่ 2 เกิดที่อะตอม H ของหมู่ methylene ผลิตภัณฑ์ที่ได้จะเป็น 2-chloropropane (เส้นทางบน) แต่ถ้าเกิดที่อะตอม H ของหมู่ methyl ผลิตภัณฑ์ที่ได้จะเป็น 1-chloropropane (เส้นทางล่าง)
 
ถ้าพิจารณาจากโอกาสที่จะเกิดการชนแล้ว จะเห็นว่าจำนวนอะตอม H ของหมู่ methyl มีถึง 6 ตัว ในขณะที่จำนวนอะตอม H ของหมู่ methylene มีเพียงแค่ 2 ตัว ดังนั้นสัดส่วน 1-chloropropane ต่อ 2-chloropropane ที่ได้ควรเป็น 6:2 แต่ในทางปฏิบัติพบว่าเกิดขึ้นในสัดส่วน 6:7 นั่นแสดงว่ายังมีปัจจัยอื่นนอกเหนือจากโอกาสที่จะถูกชนที่เป็นตัวกำหนดผลิตภัณฑ์ที่จะเกิดขึ้น และปัจจัยนั้นก็คือความแข็งแรงของพันธะ C-H ของหมู่ methyl และ methylene ที่ไม่เท่ากัน โดยความแข็งแรงของพันธะ C-H ของหมู่ methylene นั้นต่ำกว่าของหมู่ methyl
 
กล่าวคือสำหรับอะตอม Cl ที่มีพลังงานจลน์สูง ไม่ว่าจะวิ่งเข้าทำปฏิกิริยากับ C-H ของหมู่ methyl หรือของหมู่ methylene ก็จะเกิดปฏิกิริยาการแทนที่เกิดขึ้นได้ แต่สำหรับอะตอม Cl ที่มีจลน์ต่ำ ถ้าวิ่งเข้าทำปฏิกิริยากับ C-H ของหมู่ methyl ปฏิกิริยาจะไม่เกิด แต่ถ้าวิ่งเข้าทำปฏิกิริยากับ C-H ของหมู่ methylene ปฏิกิริยาจะเกิดขึ้นได้
 
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือแม้ว่าโอกาสที่ C-H ของหมู่ methyl จะถูกชนนั้นสูงกว่าของหมู่ methylene แต่โอกาสที่จะเกิดปฏิกิริยาในการชนแต่ละครั้งที่หมู่ methyl นั้นต่ำกว่าที่หมู่ methylene ทำให้การกระจายตัวของผลิตภัณฑ์ที่ได้นั้นไม่ขึ้นอยู่กับโอกาสที่จะถูกชนเพียงอย่างเดียว ต้องนำเอาโอกาสที่จะเกิดปฏิกิริยาในการชนแต่ละครั้งเข้ามาร่วมคิดด้วย เรื่องนี้เคยเล่าไว้ก่อนหน้านี้แล้วใน Memoir ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๖๑ วันพุธที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๒ เรื่อง "การเกิดปฏิกิริยาเคมี"

ตารางที่ ๒ ในหน้าถัดไปแสดงพลังงานที่ต้องใช้ในการแตกพันธะ H-C จากสารประกอบต่าง ๆ จะเห็นว่าสำหรับอะตอม H ที่เกาะอยู่กับอะตอม C อิ่มตัวนั้น การดึงเอาอะตอม H ออกจากโมเลกุล methane (H-CH3) ต้องใช้พลังงานสูงถึง 431 kJ/mol ในขณะที่การดึงเอาอะตอม H ออกจากหมู่ methyl ของโมเลกุล ethane (H-CH2CH3) ใช้พลังงานน้อยกว่าคือเพียง 410 kJ/mol 
  
ส่วนในกรณีของ propane นั้น การดึงอะตอม H ออกจากตำแหน่งหมู่ methyl (H-CH2CH2CH3) จะเท่ากับการดึงอะตอม H ออกจากหมู่ methyl ของ ethane (คือ 410 kJ/mol เท่ากัน) แต่ถ้าเป็นการดึงอะตอม H ออกจากหมู่ methylene (H-CH(CH3)2) จะใช้พลังงานน้อยลงไปอีกคือเพียงแค่ 395.4 kJ/mol

วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ฟลูออรีนหายไปไหน MO Memoir : Monday 21 December 2552

ในการอ่านตำรานั้น ผู้อ่านมักสนใจแต่ว่าเนื้อหาในตำรานั้นมีอะไรบ้าง ซึ่งตำราแต่ละเล่มนั้นจะเน้นไม่เหมือนกัน และตัวผู้เรียนเองก็มักต้องการมีตำราเพียงเล่มเดียวที่ครอบคลุมเนื้อหาการเรียนทั้งหมดในวิชานั้น แต่การอ่านตำราหลาย ๆ เล่มและพึงสังเกต ก็อาจทำให้เห็นในบางสิ่งที่ตำราทุกเล่ม (หรือเกือบทุกเล่ม) "ไม่ได้เขียน" เอาไว้ หรือ "ละ" เอาไว้โดยไม่มีการกล่าวถึง ในที่นี้จึงขอยกปฏิกิริยาหนึ่งที่หายไปจากตำราอินทรีย์เคมีมาเป็นตัวอย่าง

ในวิชาเคมีอินทรีย์หรือในตำราเคมีอินทรีย์นั้น สารประกอบอินทรีย์ตัวแรกที่เรียน/กล่าวถึงกันก็คือ อัลเคน (alkane) ซึ่งเป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนอิ่มตัว และปฏิกิริยาเคมีปฏิกิริยาแรก ๆ ที่มักเรียนกันก็คือปฏิกิริยาการเติมฮาโลเจนของอัลเคน (halogenation of alkane)

ในตำราจะกล่าวไว้เหมือน ๆ กันว่าในภาวะปรกติอัลเคนจะไม่ทำปฏิกิริยากับฮาโลเจน แต่จะทำปฏิกิริยาได้ก็ต่อเมื่อมีแสงแดด (อันที่จริงก็รังสี UV ในแสงแดดนั่นแหละ) หรือให้ความร้อน ซึ่งแสงแดดหรือความร้อนนั้นจะไปทำให้โมเลกุลฮาโลเจนแตกตัวออกเป็นอะตอม (สมการ 1) จากนั้นอะตอมฮาโลเจนจึงไปแทนที่อะตอมไฮโดรเจนของโมเลกุลอัลเคน กลายเป็นสารประกอบอัลคิลเฮไลด์และ HX (สมการ 2)

Br2 --> 2Br (1)
H3C-CH3 + 2Br --> H3C-CH2Br + HBr (2)

สารอินทรีย์ตัวที่สองที่มักเรียนกันคืออัลคีน (alkene) หรืออันที่จริงก็คือพันธะคู่ระหว่างอะตอมคาร์บอน C=C พันธะ C=C นี้มีความว่องไวในปฏิกิริยาการเติมฮาโลเจนสูงกว่าพันธะเดี่ยว C-C ดังนั้นเมื่อพันธะคู่นี้เจอกับโมเลกุลฮาโลเจน โมเลกุลฮาโลเจนก็จะเข้าไปที่ตำแหน่งพันธะคู่ C=C ดังกล่าวได้ทันที (โดยไม่ต้องแตกตัวเป็นฮาโลเจนอะตอมก่อน) และเปลี่ยนพันธะคู่ C=C ให้กลายเป็นพันธะเดี่ยว C-C โดยไม่มีการเกิดสารประกอบ HX (สมการ 3)

H2C=CH2 + Br2 --> H2BrC-CH2Br (3)

ปฏิกิริยาการเติมฮาโลเจนเข้าไปที่พันธะคู่ได้โดยไม่ต้องมีแสงแดดหรือความร้อนนั้น (สมการ 3) ถูกใช้เป็นปฏิกิริยาแยกแยะความแตกต่างระหว่างอัลเคนและอัลคีน กล่าวคืออันคีนสามารถทำปฏิกิริยาได้โดยไม่ต้องเอาไปตากแดด แต่อัลเคนจะเกิดการฟอกสีก็ต่อเมื่อเอาไปตากแดด

ที่น่าสนใจคือในปฏิกิริยากับฮาโลเจนนี้ ไม่ว่าจะเป็นบทอัลเคนหรืออัลคีน หรือไม่ว่าจะเป็นตำราไหนก็ตาม มักจะยกตัวอย่างโดยใช้คลอรีน (Cl2) กับโบรมีน (Br2) เป็นตัวแทนฮาโลเจน ในการเรียนปฏิบัติการนั้นก็จะใช้สารละลาย Br2 ใน CCl4 กัน ส่วนไอโอดีน (I2) นั้นไม่ได้ถูกกล่าวถึงในบทอัลเคน (ทั้ง ๆ ที่เป็นธาตุฮาโลเจนเหมือนกัน) ส่วนบทอัลคีนอาจมีบางเล่มกล่าวถึงปฏิกิริยาระหว่าง I2 กับพันธะ C=C บ้าง ที่แน่ ๆ ก็คือจะกล่าวถึงปฏิกิริยาระหว่าง I2 กับพันธะ C=C กันในเรื่องการวัดความไม่อิ่มตัวของกรดไขมันของน้ำมันพืช แต่การที่ปฏิกิริยาระหว่าง I2 กับหายไปนั้นก็เพราะ I2 ไม่ทำปฏิกิริยากับอัลเคน

แล้วฟลูออรีน F2 หายไปไหน

แม้ว่าฟลูออรีนจะถูกแยกออกมาเป็นสารบริสุทธิ์ได้ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2429 (ค.ศ. 1886) แต่การผลิตฟลูออรีนขึ้นมาใช้เป็นจำนวนมากก็มาเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อใช้ในการแยก U-235 ออกจาก U-238 เพื่อผลิตระเบิดนิวเคลียร์โดยอาศัยหลักการที่ว่าสารประกอบ UF6 ของไอโซโทป U-235 นั้นแพร่ได้เร็วกว่าของไอโซโทป U-238 ดังนั้นในช่วงแรกเทคโนโลยีการทำงานเกี่ยวกับฟลูออรีนจึงค่อนข้างปกปิด (กลัวว่าประเทศอื่นจะสามารถแยกไอโซโทปยูเรเนียมได้ ก็จะสามารถผลิตระเบิดนิวเคลียร์ตามได้)

แต่ปัญหาที่สำคัญของการใช้ฟลูออรีนคือการที่มันมีความว่องไวที่สูงมาก

ฟลูออรีนจัดว่าเป็นธาตุที่มีค่า Electronegativity (En) สูงสุดคือ 3.98 จัดเป็นสารออกซิไดซ์ (oxidising agent) ที่ว่องไวมาก และสามารถทำปฏิกิริยาได้กับแก๊สเฉื่อยเช่น Ar Kr Xe และ Rn ในที่มืดและในสภาพที่เป็นของแข็ง (อุณหภูมิต่ำ) ฟลูออรีนก็ยังสามารถทำปฏิกิริยาอย่างรุนแรงกับไฮโดรเจนเหลวได้ ด้วยความรุนแรงดังกล่าวจึงทำให้เป็นการยากที่จะนำเอาแก๊ส F2 มาใช้ทำปฏิกิริยาโดยตรง ปฏิกิริยาระหว่างไฮโดรคาร์บอนกับแก๊ส F2 เจือจางมักทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ได้หลายอย่างปนกันและมีการคายความร้อนสูงมาก การเตรียมผ่านทางสารประกอบ HF จะควบคุมการเกิดปฏิกิริยาได้ง่ายกว่า

ก่อนจบเรื่องนี้ขอย้อนกลับไปตรงปฏิกิริยาระหว่าง I2 กับพันธะ C=C ในเรื่องการวัดความไม่อิ่มตัวของกรดไขมันของน้ำมันพืช I2 นั้นไม่สามารถเข้าไปแทนที่อะตอม H ของพันธะ C-H ได้เหมือน Cl2 หรือ Br2 ดังนั้นเมื่อนำสารละลาย I2 มาหยดลงไปในน้ำมันพืช จึงทำให้มั่นใจได้ว่าสีของ I2 ที่หายไปนั้นเกิดจากการที่ Cl2 เข้าไปทำปฏิกิริยาตรงตำแหน่งพันธะคู่เท่านั้น การใช้ Br2 นอกจากจะมีปัญหาเรื่องการดูสีแล้ว (สีของสารละลายโบรมีนกับน้ำมันพืชก็ออกไปทางเหลืองเหมือนกัน) ยังอาจเกิดปฏิกิริยาแทนที่อะตอม H ของพันธะ C-H ร่วมด้วย (ก็เราไม่ได้ทำการทดลองให้ห้องมืดนี่นา) ทำให้ผลการวัดที่ได้มีความคลาดเคลื่อนสูงได้

เอกสารฉบับนี้ทำขึ้นในวันจันทร์ที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๒ เพื่อเฉลยข้อสอบจำนวน ๒ ข้อของการสอบวิชาเคมีอินทรีย์ในการสอบกลางภาคในช่วงบ่ายของวันอังคารที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๒ (เผยแพร่บ่ายวันที่ ๒๒ ธันวาคม)