แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ alkane แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ alkane แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Halogenation ของ alkane (๒) MO Memoir : Sunday 4 October 2558

ปฏิกิริยาการเติมฮาโลเจน (halogenation) เป็นปฏิกิริยาหนึ่งที่ใช้ในการจำแนกว่าสารตัวอย่างมีพันธะคู่ C=C หรือไม่ เวลาเรียนปฏิบัติการเคมีอินทรีย์ก็จะมักจะใช้สารละลาย Br2 เป็นตัวทดสอบ เพื่อให้ผู้เรียนได้เห็นว่าถ้าเป็นกรณีของอัลคีน (alkene) นั้นจะสามารถฟอกสีสารละลาย Br2 ได้ทันที่ที่หยดลงไป แม้ว่าจะอยู่ในที่ร่มและไม่มีการให้ความร้อนก็ตาม แต่ถ้าเป็นอัลเคน (alkane) นั้นต้องนำไปตากแดดหรือให้ความร้อน จึงจะเห็นการฟอกสี 
   
สารละลาย Br2 แต่เดิมที่ใช้กันเป็นสารละลาย Br2 ใน CCl4 แต่พอเริ่มมีปัญหาการควบคุมการผลิต CCl4 (เนื่องจากเป็นตัวทำลายโอโซน) ก็เลยต้องเปลี่ยนมาเป็น Bromine water หรือสารละลายโบรมีนในน้ำแทน (โชคดีที่โบรมีนพอจะละลายน้ำได้บ้าง) ซึ่งมันก็ใช้ได้เหมือนกัน แต่ต้องทำการเขย่าหลอดทดลองหน่อยเพราะ Bromine water มันแยกชั้นอยู่กับไฮโดรคาร์บอนที่นำมาทดสอบ ทั้งนี้เพื่อให้ Br2 ที่อยู่ในเฟสน้ำละลายเข้าไปในเฟสไฮโดรคาร์บอน
  
รูปที่ ๑ คู่มือการทดลองวิชาอินทรีย์เคมีที่ใช้กันมานานจนกระทั่งวิชานี้ถูกภาควิชาปิดไป

ในเคมีอินทรีย์ ปฏิกิริยาการแทนที่อะตอมไฮโดรเจนด้วยฮาโลเจนของอัลเคนนี้เป็นปฏิกิริยาที่สำคัญปฏิกิริยาหนึ่ง เพราะอัลเคนมีความเฉื่อยต่อการทำปฏิกิริยาต่าง ๆ มาก (เว้นแต่จะให้พลังงานสูงมากพอจนพันธะ C-C หรือ C-H แตกออก) จะมีก็ยกเว้นปฏิกิริยานี้แหละที่ทำได้ง่ายที่อุณหภูมิห้อง และเมื่อได้สารประกอบอัลคิลเฮไลด์มาแล้วจึงค่อยทำการดึงเอาอะตอมเฮไลด์ออก แล้วแทนที่ด้วยหมู่อื่น 
   
ข้อเสียของปฏิกิริยานี้ก็คือมันได้ผลิตภัณฑ์หลากหลาย ยิ่งเป็นอัลเคนโมเลกุลใหญ่เท่าใด ผลิตภัณฑ์ที่ได้มันก็หลายหลายมากขึ้น (เพราะไม่สามารถกำหนดอะตอม H ที่จะให้เฮไลด์เข้าไปแทนที่ได้) 
  
ปฏิกิริยาการเติมฮาโลเจนไปที่ C ที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างวงแหวนเบนซีนไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าเป็นการเติมไปที่หมู่อัลคิล (alkyl) หรืออัลคิลีน (alkylene) ที่เกาะอยู่กับวงแหวนเบนซีน ปฏิกิริยาจะเป็นเหมือนการทำปฏิกิริยากับอัลเคนและอัลคีน เช่นในกรณีของเบนซีนนั้นจะไม่ทำปฏิกิริยากับ Br2 ที่อยู่ในสารละลาย Bromine water แม้ว่าจะนำไปตากแดด แต่ในกรณีของโทลูอีนและไซลีนนั้นจะเกิดการฟอกสีสารละลาย Bromine water ได้เมื่อนำไปตากแดด (แต่ต้องเขย่าหลอดทดลองเป็นพัก ๆ) โดยจะเกิดปฏิกิริยาแทนที่อะตอม H ที่เกาะอยู่กับหมู่เมทิล (-CH3) ไม่ได้เกิดกับอะตอม H ที่เกาะอยู่กับอะตอม C ที่เป็นส่วนหนึ่งของวงแหวน ส่วนผลิตภัณฑ์จะเป็นอะไรนั้นขึ้นอยู่กับสัดส่วนระหว่างไฮโดรคาร์บอนกับ Br2 ถ้าหากมีไฮโดรคาร์บอนมากเมื่อเทียบกับ Br2 ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่จะเป็นพวกที่มีการแทนที่ที่ตำแหน่งเดียว แต่ถ้ามี Br2 มากขึ้นก็จะเกิดผลิตภัณฑ์ที่มีการแทนที่ที่หลายตำแหน่งมากขึ้น
 
หมู่เมทิลในโมเลกุลของอะซีโตน (acetone H3C-(CO)-CH3) ก็สามารถเกิดปฏิกิริยาการเติมฮาโลเจนได้เช่นกัน โดยถ้าอยากให้มีการแทนที่ที่ตำแหน่งเดียวก็ต้องใช้อะซีโตนมากหน่อย (กว่าสิบเท่าของโบรมีน) และใช้น้ำเป็นตัวเจือจางการทำปฏิกิริยา ส่วนจะทำออกมาแล้วได้ความบริสุทธิ์แค่ไหนก็อีกเรื่องหนึ่ง
 
รูปที่ ๒ การเตรียมโบรโมอะซีโตน

ผลิตภัณฑ์ที่เกิดการแทนที่อะตอม H เพียงอะตอมเดียวด้วย Br ในกรณีของโทลูอีน ผลิตภัณฑ์ที่ได้คือเบนซิลโบรไมด์ (benzyl bromide) ในกรณีของไซลีนก็จะได้ไซลิลโบรไมด์ (Xylyl bromide มี ๓ ไอโซเมอร์ด้วยกัน) และในกรณี ของอะซีโตนก็จะได้โบรโมอะซีโตน (Bromo acetone)

รูปที่ ๓ สรุปปฏิกิริยาที่เกิดจากการแทนที่อะตอม H เพียงอะตอมเดียวด้วย Br

ทั้ง Xylyl bromide Benzyl bromide และ Bromo acetone ต่างถูกนำมาใช้เป็นอาวุธเคมีในสงครามโลกครั้งที่ ๑ (ในปีค.ศ. ๑๙๑๔ ๑๙๑๕ และ ๑๙๑๖ ตามลำดับ) โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือทำให้เกิดการระคายเคืองโดยเฉพาะที่ดวงตา (ทำหน้าที่แบบแก๊สน้ำตา) สงครามโลกครั้งที่ ๑ นั้นเป็นสงครามสนามเพลาะ ยังรบกันด้วยกองทัพเดินเท้าเป็นหลัก ในช่วงแรกยังไม่มีการนำเอาอากาศยานเข้ามาร่วมในการรบ การจะตีฝ่าแนวรบฝ่ายตรงข้ามเข้าไปได้จำเป็นต้องใช้ปืนใหญ่ยิงถล่มสนามเพลาะและแนวรั้วลวดหนามของฝ่ายข้าศึก แต่ปัญหาไปอยู่ตรงที่การตรวจการณ์ว่ากระสุนปืนใหญ่ตกตรงเป้าหรือไม่นั้น (ภายหลังจึงมีการนำเอาเครื่องบินมาช่วยตรวจการณ์ และนำไปสู่การเกิดการรบทางอากาศขึ้น) อีกอย่างก็คือกระสุนปืนใหญ่ในสมัยนั้นมันเป็นแบบตกกระทบพื้นแล้วจึงระเบิด ยังไม่มีชนิดระเบิดได้กลางอากาศ ซึ่งมามีใช้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒
 
ดังนั้นเพื่อเอาชนะปัญหาดังกล่าว แนวทางหนึ่งที่มีการนำมาใช้คือการใช้แก๊สพิษ เพราะแก๊สพิษนั้นสามารถแพร่กระจายออกไปและแพร่ลงต่ำลงไปในแนวสนามเพลาะและซอกมุมต่าง ๆ ได้แม้ว่ากระสุนบรรจุแก๊สพิษเองนั้นจะไม่ตกลงตรงสนามเพลาะ (ซึ่งสะเก็ดระเบิดทำไม่ได้ หรือไม่กระสุนปืนใหญ่ต้องตกลง ณ ตำแหน่งนั้นพอดี
 
แต่การใช้แก๊สพิษเองก็มีปัญหาในตัวมันเอง เพราะประสิทธิภาพในการใช้งานขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและทิศทางลม นอกจากนี้สารพิษที่ตกค้างอยู่ในบริเวณดังกล่าวยังก่อให้เกิดปัญหาแก่ผู้ใช้ในการเข้าไปยึดครองพื้นที่นั้นด้วย (ข้าศึกอาจจะเผ่นหนีไป แต่ผู้ใช้ก็ไม่สามารถเข้าไปใช้พื้นที่ได้เพราะยังมีสารพิษตกค้างอยู่) และยังส่งผลกระทบทางจิตวิทยาต่อทหารฝ่ายเดียวกันที่ต้องเข้าไปยึดครองพื้นที่ที่ไล่ข้าศึกออกไปด้วยการใช้สารพิษ ด้วยเกรงว่าสารพิษที่ตกค้างอยู่นั้นจะก่อให้เกิดอันตรายกับพวกเดียวกันเองด้วย

วิชาเคมีอินทรีย์เรียกได้ว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมากับผู้ที่เรียนทางด้านวิศวกรรมศาสตร์จำนวนไม่น้อย จะว่าไปแล้วส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะว่าในช่วงที่ผ่านมาการเรียนการสอนวิชาเคมีอินทรีย์นั้นอยู่ในรูปแบบการท่องจำเป็นหลัก และตัวอย่างปฏิกิริยาต่าง ๆ ที่ยกมานั้นก็ไม่มีการแสดงให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการทำปฏิกิริยานั้นเอาไปใช้ประโยชน์ใดได้บ้าง นอกจากนี้วิธีการผลิตจริงในอุตสาหกรรมยังแตกต่างไปจากที่ปรากฏอยู่ในตำรา ซึ่งสิ่งที่ปรากฏอยู่ในตำรามักจะเหมาะสมกับการสังเคราะห์ในห้องทดลองมากกว่า ในขณะที่ให้ระดับห้องปฏิบัติการนั้นอุปกรณ์ที่ใช้ต่างทำจากแก้วเป็นหลัก การใช้อุณหภูมิและความดันสูงเป็นที่ถูกหลีกเลี่ยง แต่ในอุตสาหกรรมนั้น แก้วกลายเป็นวัสดุที่ไม่เหมาะสม (เพราะแตกได้ง่ายการการสั่นสะเทือน การกระแทก และการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิกระทันหัน) อุปกรณ์ต่าง ๆ ผลิตขึ้นจากโลหะ การใช้อุณหภูมิและความดันที่สูงไม่ใช่ปัญหาในการทำให้ปฏิกิริยาเกิด
 
แต่ความแตกต่างของกระบวนการผลิตในระดับอุตสาหกรรมหรือในระดับห้องทดลองก็ไม่ได้มาจากทฤษฎีพื้นฐานที่แตกต่างกัน เพียงแต่เราอาจต้องเปลี่ยนมุมมองจากแทนที่จะมองจาก "ต้องใช้อะไรเป็นสารตั้งต้นเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ตามต้องการ" มาเป็น "ผลิตภัณฑ์ที่ต้องการนั้นเกิดจากการรวมตัวกันของสารมัธยันต์ (intermediate) สารใด และทำอย่างใดจึงจะทำให้เกิดสารมัธยันต์เหล่านั้น" ก็จะทำให้เรามองเห็นเส้นทางการผลิตที่แตกต่างไปจากที่ปรากฏในตำราได้

หมายเหตุ
ตอนที่ ๑ ของเรื่องนี้อ่านได้จาก Memoir ปีที่ ๖ ฉบับที่ ๗๔๘ วันพุธที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ เรื่อง "Halogenationของalkane"

บรรณานุกรม
https://en.wikipedia.org/wiki/Chemical_weapons_in_World_War_I (เสาร์ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๘)
https://en.wikipedia.org/wiki/Benzyl_bromide (เสาร์ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๘)
https://en.wikipedia.org/wiki/Bromoacetone (เสาร์ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๘)
https://en.wikipedia.org/wiki/Xylyl_bromide (เสาร์ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๘)

วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2557

I2 ในสารละลาย KI กับไฮโดรคาร์บอนอิ่มตัว MO Memoir : Saturday 25 October 2557

ในตำราเคมีอินทรีย์นั้น เวลาเอ่ยถึงปฏิกิริยา halogenation ของอัลเคน (alkane) ก็มักจะกล่าวถึงเพียงแค่กรณีของ Cl2 กับ Br2 ซะเกือบทั้งหมด กรณีของ F2 กับ I2 นั้นแทบจะไม่ได้ค่อยได้รับการกล่าวถึงเท่าใดนัก ทั้งนี้เป็นเพราะ F2 มีความว่องไวในการทำปฏิกิริยาสูงมาก จนยากที่จะควบคุม ส่วน I2 นั้นก็เฉื่อยจนไม่ทำปฏิกิริยา
 
เวลาข้อสอบถามว่าถ้าเอาสารละลาย I2 ใน CCl4 หยดลงไปในหลอดทดลองที่บรรจุสารตัวอย่างที่เป็น alkane หรือ alkyl aromatic (สารประกอบที่วงแหวนอะโรมาติกมีหมู่อัลคิลเกาะอยู่เช่น โทลูอีน (Toluene C6H5-CH3) ไซลีน (Xylene C6H4-(CH3)2) และเอทิลเบนซีน (Ethyl benzene C6H5-CH2CH3) แล้ววางในหลอดทดลองในที่ร่มกับนำไปวางตากแดด สีของสารละลายจะเปลี่ยนไปหรือไม่อย่างไร คำตอบก็คือมันก็จะยังคงเป็นสีม่วง (สีของ I2) เหมือนเดิม เพราะปฏิกิริยามันไม่เกิด
  
การสอนแลปเคมีอินทรีย์ช่วงหลังนั้น ได้เปลี่ยนมาใช้สารละลาย Bromine water หรือ Br2 ในน้ำแทน (สารละลายมีสีเหลืองของ Br2) เพราะต้องการลดการใช้ CCl4 แต่ Bromine water นั้นมันแยกชั้นกับไฮโดรคาร์บอน โดยไฮโดรคาร์บอนจะลอยอยู่บนสารละลาย Bromine water การทำปฏิกิริยาจะเกิดได้เฉพาะตรงรอยต่อระหว่างเฟสเท่านั้น ดังนั้นในระหว่างการทดลองจึงจำเป็นต้องทำการเขย่าหลอดทดลองไปด้วย เพื่อให้ Br2 ในชั้นน้ำละลายเข้าไปในชั้นไฮโดรคาร์บอน ถ้าไม่เกิดปฏิกิริยา ชั้นไฮโดรคาร์บอนก็จะเป็นสีเหลือง แต่ถ้าเกิดปฏิกิริยา ชั้นไฮโดรคาร์บอนก็จะใสเหมือนเดิม


รูปที่ ๑ ชั้นล่างเป็น I2 ในสารละลาย KI (เห็นข้างขวดเขียนไว้ว่าเข้มข้นประมาณ 10-4 M) ส่วนชั้นบนเป็น xylene หลอดซ้ายหลังจากที่ผสมกันแล้วก็เขย่า ส่วนหลอดขวานั้นก็ตั้งทิ้งไว้เฉย ๆ จะเห็นว่า I2 จากชั้นสารละลาย KI จะแพร่ขึ้นไปอยู่ในชั้น xylene ทำให้สีของ xylene เปลี่ยนไปเนื่องจากมี I2 เข้าไปปนอยู่ ถ้า I2 เข้าไปได้มากก็จะออกทางโทนสีม่วง
  
ที่นี้ถ้าเราเปลี่ยนมาใช้สารละลาย I2 ในสารละลาย KI ดูบ้าง (I2 จะอยู่ในรูปของ I3-) แล้วทำการทดลองอย่างเดียวกัน ผลที่ได้จะเป็นอย่างไร
  
ถ้าเราเอา I2 ไปละลายในตัวทำละลายไม่มีขั้วหรือแอลกฮอล์ (เช่นเอทานอล) เราจะได้สารละลายสีม่วงของ I2 แต่ถ้าเราเอา I2 ไปละลายในสารละลาย KI เราจะได้สารละลายสีเหลือง ส่วนจะเหลืองอ่อนหรือเข้มก็ขึ้นกับความเข้มข้นของ I2 ที่ละลายเข้าไป ยิ่งมีมากก็ยิ่งออกทางเหลืองเข้มมากขึ้น
  
พอเราใส่สารละลาย I2 ในสารละลาย KI ลงในหลอดทดลองร่วมกับไฮโดรคาร์บอนอิ่มตัว (หรืออะโรมาติกก็ได้) มันก็จะแยกชั้นเป็นสองชั้น โดยชั้นบนเป็นไฮโดรคาร์บอน (จะใส ไม่มีสี) ชั้นล่างเป็นสารละลาย I2 ในสารละลาย KI (สีเหลือง) ถ้าตั้งทิ้งไว้เราก็จะเห็นชั้นไฮโดรคาร์บอนค่อย ๆ มีสีออกทางโทนแดงเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ เนื่องจาก I2 ในสารละลาย KI แพร่เข้าไปละลายอยู่ในชั้นไฮโดรคาร์บอน แต่ถ้าอยากให้มันแพร่เร็วขึ้นก็ต้องเขย่าหลอดทดลองช่วยด้วย ผลที่ออกมาก็จะเป็นดังรูปที่ ๑ ที่ถ่ายเอาไว้เมื่อวาน บังเอิญเมื่อวานในแลปไม่มีสารละลาย I2 ในสารละลาย KI ที่ความเข้มข้นสูงเหลืออยู่ มีแต่ขวดความเข้มข้นเจือจางเหลืออยู่ขวดนึง สีที่เห็นมันก็เลยยังออกเป็นโทนสีแดงอยู่ แต่ถ้าใช้สารละลาย I2 ในสารละลาย KI ที่ความเข้มข้นสูงพอก็จะเห็นว่าสีของชั้นไฮโดรคาร์บอนอิ่มตัวนั้นจะออกทางโทนสีม่วง

เอาเรื่องนี้ไปออกข้อสอบทีไร หาคนตอบคำถามถูกไม่ค่อยจะได้ทุกที

วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

Halogenation ของ alkane MO Memoir : Wednesday 12 February 2557

สำหรับการเรียนอินทรีย์เคมีนั้น สารตัวแรกที่เรียนกันหรือมักปรากฏในบทแรก ๆ ของตำราคือไฮโดรคาร์บอนอิ่มตัว ซึ่งอาจเรียกว่าเป็น saturated hydrocarbon หรืออัลเคน (alkane) หรือในตำราเก่า ๆ จะเรียกว่า paraffin คำว่า paraffin นี้มาจากคำภาษาละติน parum ซึ่งแปลว่า "ไม่ดึงดูด" หรือ "เฉื่อย" นั่นเอง ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของสารประกอบตระกูลนี้ที่ไม่ค่อยทำปฏิกิริยากับสารอื่นได้ง่าย เว้นแต่กับสารที่มีความว่องไวสูงเช่นธาตุในหมู่ฮาโลเจน
 
ถ้าเราไปเปิดดูตำราในส่วนของการทำปฏิกิริยากับธาตุฮาโลเจนของอัลเคนนั้น จะเห็นว่าเน้นการยกตัวอย่างปฏิกิริยากับ Cl2 หรือ Br2 เป็นหลัก ส่วนปฏิกิริยากับ F2 หรือ I2 นั้นไม่ค่อยได้รับการกล่าวถึง ทั้งนี้เป็นเพราะปฏิกิริยาของอัลเคนกับ F2 โดยตรงนั้นเกิดขึ้นรุนแรง ยากแก่การควบคุม ในขณะที่ I2 ไม่ทำปฏิกิริยากับอัลเคน
 
ปฏิกิริยาระหว่างอัลคีนกับฮาโลเจนภาษาอังกฤษเรียกว่า halogenation การดำเนินไปข้างหน้าของปฏิกิริยานั้นอยู่ในรูปของอนุมูลอิสระ (free radical) ตัวอย่างเช่นปฏิกิริยาระหว่าง CH4 กับ Cl2 มีการดำเนินไปของปฏิกิริยาดังนี้
 
ในขั้นตอนแรกเป็นการกระตุ้นให้โมเลกุล Cl2 แตกออกเป็นอะตอม Cl ก่อนโดยใช้แสงหรือความร้อนช่วย

ขั้นตอนที่สองเป็นขั้นตอนที่อะตอม Cl ที่เกิดขึ้นไปดึงอะตอม H ออกจากโมเลกุล CH4 เกิดเป็น HCl และ methyl free radical


ขั้นตอนที่สามเป็นขั้นตอนที่ methyl free radical ทำปฏิกิริยากับโมเลกุล Cl2 อีกอะตอมหนึ่ง เกิดเป็นสารประกอบ monochloromethane กับอะตอม Cl ที่สามารถไปทำปฏิกิริยากับโมเลกุล CH4 โมเลกุลอื่นในขั้นตอนที่สอง

ข้อมูลในตารางที่ ๑ แสดงการเปลี่ยนแปลงพลังงานของปฏิกิริยา Halogenation ของ CH4 กับธาตุฮาโลเจนต่าง ๆ จะเห็นว่าในกรณีของ I2 นั้นแม้ว่าพลังงานที่ต้องใช้ในการทำให้โมเลกุลไอโอดีนแตกออกเป็นอะตอมไอโอดีนจะไม่มากเหมือนกรณีของคลอรีน แต่พลังงานที่ต้องใช้ในการทำให้เกิด methyl free radical ด้วยอะตอมไอโอดีนนั้นสูงกว่าธาตุฮาโลเจนตัวอื่นมาก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ในภาวะปรกติ I2 จะไม่ทำปฏิกิริยา halogenation กับสารประกอบอัลเคน การเตรียมสารประกอบ alkyl iodide จึงต้องใช้วิธีการอื่นที่ไม่ใช่การ halogenation โดยตรง


ส่วนกรณีของ F2 นั้น ในขั้นตอนที่ 2 และ 3 นั้นมีการคายพลังงานออกมามาก จึงทำให้ปฏิกิริยาระหว่างอัลเคนกับ F2 เกิดขึ้นรุนแรง ยากต่อการควบคุม เรื่องของฟลูออรีนนี้เคยกล่าวไว้ใน Memoir ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๙๒ วันจันทร์ที่ ๒๑ ธันวาคม พ.. ๒๕๕๒ เรื่อง "ฟลูออรีนหายไปไหน" ครั้งหนึ่งแล้ว

ปฏิกิริยาของอีเทน (ethane - H3C-CH3) กับคลอรีน ก็ดำเนินไปในรูปแบบเดียวกันดังนี้
 
 
ทีนี้เราลองมาพิจารณากรณีของโพรเพน (propane - H3C-CH2-CH3) กันบ้าง สำหรับการเกิดปฏิกิริยาในขั้นตอนที่ 2 และขั้นตอนที่ 3

ในกรณีของโพรเพน ตำแหน่งอะตอม H ที่สามารถทำปฏิกิริยาในขั้นตอนที่ 2 นั้นมีอยู่ด้วยกัน 2 ตำแหน่ง ตำแหน่งแรกคืออะตอม H ที่อยู่ที่อะตอม C ตัวกลาง (หมู่ methylene หรือ -CH2-) ซึ่งมีอะตอม H อยู่ 2 ตัว ตำแหน่งที่สองคืออะตอม H ที่อยู่ที่อะตอม C ที่ปลายโซ่ทั้งสองข้าง (หมู่ methyl หรือ -CH3) ซึ่งมีอะตอม H อยู่ 6 ตัว ถ้าปฏิกิริยาในขั้นตอนที่ 2 เกิดที่อะตอม H ของหมู่ methylene ผลิตภัณฑ์ที่ได้จะเป็น 2-chloropropane (เส้นทางบน) แต่ถ้าเกิดที่อะตอม H ของหมู่ methyl ผลิตภัณฑ์ที่ได้จะเป็น 1-chloropropane (เส้นทางล่าง)
 
ถ้าพิจารณาจากโอกาสที่จะเกิดการชนแล้ว จะเห็นว่าจำนวนอะตอม H ของหมู่ methyl มีถึง 6 ตัว ในขณะที่จำนวนอะตอม H ของหมู่ methylene มีเพียงแค่ 2 ตัว ดังนั้นสัดส่วน 1-chloropropane ต่อ 2-chloropropane ที่ได้ควรเป็น 6:2 แต่ในทางปฏิบัติพบว่าเกิดขึ้นในสัดส่วน 6:7 นั่นแสดงว่ายังมีปัจจัยอื่นนอกเหนือจากโอกาสที่จะถูกชนที่เป็นตัวกำหนดผลิตภัณฑ์ที่จะเกิดขึ้น และปัจจัยนั้นก็คือความแข็งแรงของพันธะ C-H ของหมู่ methyl และ methylene ที่ไม่เท่ากัน โดยความแข็งแรงของพันธะ C-H ของหมู่ methylene นั้นต่ำกว่าของหมู่ methyl
 
กล่าวคือสำหรับอะตอม Cl ที่มีพลังงานจลน์สูง ไม่ว่าจะวิ่งเข้าทำปฏิกิริยากับ C-H ของหมู่ methyl หรือของหมู่ methylene ก็จะเกิดปฏิกิริยาการแทนที่เกิดขึ้นได้ แต่สำหรับอะตอม Cl ที่มีจลน์ต่ำ ถ้าวิ่งเข้าทำปฏิกิริยากับ C-H ของหมู่ methyl ปฏิกิริยาจะไม่เกิด แต่ถ้าวิ่งเข้าทำปฏิกิริยากับ C-H ของหมู่ methylene ปฏิกิริยาจะเกิดขึ้นได้
 
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือแม้ว่าโอกาสที่ C-H ของหมู่ methyl จะถูกชนนั้นสูงกว่าของหมู่ methylene แต่โอกาสที่จะเกิดปฏิกิริยาในการชนแต่ละครั้งที่หมู่ methyl นั้นต่ำกว่าที่หมู่ methylene ทำให้การกระจายตัวของผลิตภัณฑ์ที่ได้นั้นไม่ขึ้นอยู่กับโอกาสที่จะถูกชนเพียงอย่างเดียว ต้องนำเอาโอกาสที่จะเกิดปฏิกิริยาในการชนแต่ละครั้งเข้ามาร่วมคิดด้วย เรื่องนี้เคยเล่าไว้ก่อนหน้านี้แล้วใน Memoir ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๖๑ วันพุธที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๒ เรื่อง "การเกิดปฏิกิริยาเคมี"

ตารางที่ ๒ ในหน้าถัดไปแสดงพลังงานที่ต้องใช้ในการแตกพันธะ H-C จากสารประกอบต่าง ๆ จะเห็นว่าสำหรับอะตอม H ที่เกาะอยู่กับอะตอม C อิ่มตัวนั้น การดึงเอาอะตอม H ออกจากโมเลกุล methane (H-CH3) ต้องใช้พลังงานสูงถึง 431 kJ/mol ในขณะที่การดึงเอาอะตอม H ออกจากหมู่ methyl ของโมเลกุล ethane (H-CH2CH3) ใช้พลังงานน้อยกว่าคือเพียง 410 kJ/mol 
  
ส่วนในกรณีของ propane นั้น การดึงอะตอม H ออกจากตำแหน่งหมู่ methyl (H-CH2CH2CH3) จะเท่ากับการดึงอะตอม H ออกจากหมู่ methyl ของ ethane (คือ 410 kJ/mol เท่ากัน) แต่ถ้าเป็นการดึงอะตอม H ออกจากหมู่ methylene (H-CH(CH3)2) จะใช้พลังงานน้อยลงไปอีกคือเพียงแค่ 395.4 kJ/mol