แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Seveso แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Seveso แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2557

Malayan emergency, สงครามเวียดนาม, Seveso และหัวหิน MO Memoir : Sunday 7 September 2557

Malayan emergency หรือการรบกับพรรคคอมมิวนิสต์มาลายาของรัฐบาลอังกฤษในประเทศมาเลเซียปัจจุบัน
  
สงครามเวียดนาม หรือการรบของกองทัพสหรัฐกับกองทัพเวียดนามเหนือและเวียดกงในเวียดนามใต้
  
Seveso อุบัติเหตุของโรงงานเคมีที่นำมาสู่เหตุการณ์หายยะที่เมือง Seveso ประเทศอิตาลี
  
และถังบรรจุสารเคมี ที่ขุดพบที่ตำบลบ่อฝ้าย อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในขณะทำการขยายสนามบิน

ต่างมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน

ปฏิกิริยาการเติมฮาโลเจนหรือที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า halogenation นั้นเป็นปฏิกิริยาที่สำคัญปฏิกิริยาหนึ่งทางเคมีอินทรีย์ โดยเฉพาะเมื่อต้องการเปลี่ยนตำแหน่งที่มีอะตอมไฮโดรเจน -H เกาะอยู่นั้นให้กลายเป็นหมู่อื่น ซึ่งทำได้ด้วยการแทนที่อะตอมไฮโดรเจน -H ด้วยฮาโลเจน -X (ปรกติ X ก็มักเป็น Cl, Br หรือ I) จากนั้นก็ค่อยแทนที่อะตอม -X ที่เติมเข้าไปนั้นให้กลายเป็นหมู่อื่นอีกที
  
การเติมฮาโลเจนเข้าไปที่พันธะคู่ C=C ของ alkene หรือพันธะสาม C=C ของ alkyne นั้นทำได้ง่าย เกิดปฏิกิริยาได้เองที่อุณหภูมิห้อง การแทนที่อะตอม -H ของพันธะ C-H ที่เป็นหมู่ aliphaticนั้นทำได้ยากกว่า จำเป็นต้องมีการใช้แสงหรือความร้อนช่วยทำให้ปฏิกิริยาเกิด และที่ยากที่สุดเห็นจะได้แก่การแทนที่อะตอม -H ของพันธะ C-H ที่อะตอม C เป็นส่วนหนึ่งของวงแหวน aromatic
  
Benzene สามารถทำปฏิกิริยากับแก๊ส Cl2 ได้แต่ต้องมีตัวเร่งปฏิกิริยาที่เป็นพวก Lewis acid ช่วย (เช่น FeCl3) โดยอะตอม Cl จะเข้าไปแทนที่อะตอม H ของอะตอม C ที่เป็นโครงสร้างของวงแหวน ถ้าปล่อยให้ปฏิกิริยาดำเนินไปเรื่อย ๆ ก็จะเกิดการแทนที่อะตอม H ได้มากกว่า 1 ตำแหน่ง ในกรณีของ benzene กับแก๊ส Cl2 นั้นเนื่องจากอะตอม Cl จัดอยู่ในพวก ortho- และ para- directing group (เพราะมันสามารถจ่ายอิเล็กตรอนให้วงแหวนได้) ดังนั้นในกรณีที่มีการแทนที่อะตอม H 2 อะตอม ผลิตภัณฑ์ที่ได้ก็จะเป็น 1,2-dichlorobenzene และ 1,4-dichlorobenzene (รูปที่ ๑)
  
ถึงแม้ว่าตำแหน่ง ortho นั้นจะมีถึง 2 ตำแหน่งในขณะที่ตำแหน่ง para นั้นมีเพียงตำแหน่งเดียว แต่การที่อะตอม Cl มีขนาดค่อนข้างใหญ่ อะตอม Cl ตัวที่สองจึงแทรกเข้าไปแทนที่ที่ตำแหน่ง ortho ได้ยาก (เพราะโดนอะตอม Cl ตัวแรกที่เข้าไปแทนที่นั้นขวางอยู่ การกีดขวางที่เกิดจากโครงสร้างโมเลกุลที่มีขนาดใหญ่เช่นนี้เรียกว่า steric effect) ผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นมากกว่าจึงเป็น 1,4-dichlorobenzene โดยมี 1,2-chlorobenzene เกิดขึ้นน้อยกว่า


รูปที่ ๑ ปฏิกิริยา chlorination ของ bezene ไปเป็นdi-, tri- และ tetrachlorobenzene
สำหรับการแทนที่ด้วยอะตอม Cl ตัวที่สาม จากผลของ steric effect จึงทำให้ในกรณีของ 1,2-dichlorobenzene อะตอม Cl ตัวที่ 3 ยากที่จะเข้าไปเกาะอยู่เคียงข้างอะตอม Cl อะตอมใดอะตอมหนึ่งที่เกาะอยู่ก่อน (ซึ่งจะทำให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ 1,2,3-trichlorobenzene) การเข้าไปยังอะตอม C ที่อยู่ตรงข้ามอะตอม Cl อะตอมใดอะตอมหนึ่งที่เกาะอยู่ก่อนนั้นจะง่ายกว่า ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์เป็น 1,2,4-trichlorobenzene ส่วนในกรณีของ 1,4-dichlorobenzene ไม่ว่าอะตอม Cl ตัวที่สามจะเข้าไปเกาะที่ตำแหน่งไหนก็จะให้ผลเหมือนกัน คือได้ผลิตภัณฑ์เป็น 1,2,4-trichlorobenzene (ดูรูปที่ ๒ ประกอบ)


รูปที่ ๒ ในกรณีของ 1,2-dichlorobenzene (ซ้าย) การอะตอม Cl ตัวที่สามจะเข้าไปยังตำแหน่ง a หรือ d นั้นจะเข้าได้ยากเนื่องจากอะตอม Cl เองก็มีขนาดค่อนข้างใหญ่ และยังถูกกีดกันจากอะตอม Cl ที่เข้าไปแทนที่ก่อนหน้าที่อยู่ด้านข้าง ดังนั้นการแทนที่ครั้งที่สามที่ตำแหน่ง b หรือ c จะเกิดได้ง่ายกว่า ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์เป็น 1,2,4-trichlorobenzene ส่วนในกรณีของ 1,4-dichlorobenzene (ขวา) นั้น การแทนที่ไม่ว่าจะเป็นที่ตำแหน่ง a, b, c และ d ด้วยอะตอม Cl ตัวที่สามนั้นจะให้ผลิตภัณฑ์ที่เหมือนกันหมดคือ 1,2,4-trichlorobenzene

ด้วยการที่อะตอม halogen นั้นเป็น ring deactivating group (ทำให้การแทนที่ครั้งต่อไปเกิดได้ยากขึ้น) ดังนั้นหลังการแทนที่ด้วยอะตอม Cl แต่ละครั้งจึงทำให้การแทนที่ด้วยอะตอม Cl ตัวถัดไปเกิดได้ยากขึ้น ตัวเร่งปฏิกิริยาที่สามารถทำให้เกิดปฏิกิริยาการแทนที่ในตำแหน่งแรก ๆ ได้อาจจะไม่สามารถทำให้เกิดปฏิกิริยาการแทนที่ในตำแหน่งที่มากขึ้นไปอีกได้ ด้วยเหตุนี้จึงไม่แปลกหากการแทนที่เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีจำนวนการแทนที่มากหลายตำแหน่งนั้นจำเป็นต้องใช้กระบวนการที่มีมากกว่าหนึ่งขึ้นตอน เพราะจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนตัวเร่งปฏิกิริยาที่ใช้

การเตรียม tetrachlorobenzene จาก tri-chlorobenzene ก็เป็นเช่นนี้

การพิจารณาตำแหน่งที่จะเกิดการแทนที่ตำแหน่งที่สี่ของ 1,2,4-trichlorobenzene จำเป็นต้องพิจารณาผลของความเป็น ortho- และ para- direction group และผลของ steric effect ของอะตอม Cl ไปด้วยกัน

แม้ว่าตำแหน่ง a ของ 1,2,4-trichlorobenzene (ดูรูปที่ ๓ ประกอบ) จะเป็นตำแหน่ง ortho กับอะตอม Cl ถึงสองอะตอม แต่การที่มีอะตอม Cl ขนาดใหญ่อยู่ทั้งซ้ายและขวาของตำแหน่ง a จึงทำให้อะตอม Cl ตัวที่สี่เข้าแทนที่ที่ตำแหน่ง a ได้ยาก (เกิดผลิตภัณฑ์เป็น 1,2,3,4-tetrachlorobenzene ได้ยาก) ส่วนที่ตำแหน่ง b และ c นั้นแม้ว่าทั้งสองตำแหน่งจะมีอะตอม Cl อยู่เคียงข้างเพียงอะตอมเดียวเหมือนกัน แต่ตำแหน่ง c นั้นเป็นตำแหน่ง meta กับอะตอม Cl ถึงสองอะตอมในขณะที่เป็นตำแหน่ง ortho กับอะตอม Cl เพียงอะตอมเดียว จึงทำให้การแทนที่ด้วยอะตอม Cl ตัวที่สี่ที่ตำแหน่ง c เกิดได้ยาก (เกิดผลิตภัณฑ์เป็น 1,2,3,5-tetrachlorobenzene ได้ยากเช่นกัน) ตำแหน่ง b นั้นเป็นตำแหน่งที่ง่ายกว่าในการเกิดการแทนที่ด้วยอะตอม Cl ตัวที่สี่ เพราะเป็นตำแหน่ง ortho กับ para ของอะตอม Cl รวมกันสองอะตอม โดยเป็นตำแหน่ง meta เมื่อเทียบกับอะตอม Cl เพียงอะตอมเดียว จึงทำให้ได้ผลิตภัณฑ์หลักของการแทนที่ตำแหน่งที่สี่เป็น 1,2,4,5-tetrachlorobenzene


รูปที่ ๓ ผลิตภัณฑ์ที่มีโอกาสเกิดได้จากการแทนที่ด้วยอะตอม Cl ตัวที่สี่เข้าไปยังโมเลกุล 1,2,4-trichlorobenzene ในกรณีนี้ 1,2,4,5-tetrachlorobenzene จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีโอกาสเกิดมากที่สุด โดย 1,2,3,5-tetrachlorobenzene และ 1,2,3,4-tetrachlorobenzene มีโอกาสเกิดได้กว่า

Aryl halide นั้นจัดว่าเป็นสารประกอบที่เฉื่อยต่อการทำปฏิกิริยา การแทนที่อะตอม halogen ด้วยหมู่อื่นนั้นจำเป็นต้องใช้ภาวะการทำปฏิกิริยาที่รุนแรง ตัวอย่างเช่นการแทนที่อะตอม Cl ของ chlorobenzene ด้วยอะตอม O เพื่อเปลี่ยนจากสารประกอบ aryl halide เป็น phenoxide นั้นจำเป็นต้องใช้อุณหภูมิและความดันที่สูงเข้าช่วย จากนั้นจึงเปลี่ยน phenoxide ที่ได้ให้กลายเป็น phenol อีกที ดังสมการที่แสดงในรูปที่ ๔ ข้างล่าง


รูปที่ ๔ ปฏิกิริยาการแทนที่อะตอม Cl ที่เกาะอยู่กับวงแหวนเบนซีนด้วยหมู่ -OH พึงสังเกตว่าใช้ภาวะการทำปฏิกิริยาที่ค่อนข้างจะรุนแรง สำหรับปฏิกิริยาที่เกิดในเฟสของเหลวถ้าต้องการทำปฏิกิริยาที่อุณหภูมิสูงขึ้นก็มักต้องใช้ความดันที่สูงขึ้นไปด้วย เพื่อที่จะคงสภาพสารตั้งต้นให้ยังคงเป็นเฟสของเหลวอยู่ ในที่นี้ NaOH นั้นไม่สามารถทำให้กลายเป็นแก๊สได้ ดังนั้นถ้าต้องการเพิ่มอุณหภูมิการทำปฏิกิริยา ก็จำเป็นต้องเพิ่มความดันของระบบให้สูงขึ้นไปด้วย เพื่อทำให้ chlorobenzene ยังคงสภาพเป็นของเหลวอยู่

การสังเคราะห์ 2,4,5-trichlorophenol จาก 1,2,4,5-tetrachlorobenzene และ 2,4-dichlorophenol จาก 1,2,4-trichlorobenzene (รูปที่ ๕) ก็สามารถใช้วิธีการที่ได้แสดงไว้ในรูปที่ ๔



รูปที่ ๕ การเปลี่ยนหมู่ Cl ของ 1,2,4,5-tetrachlorobenzene และของ 1,2,4-trichlorobenzene ให้กลายเป็นหมู่ -OH ทำให้ได้สารประกอบ 2,4,5-trichlorophenol (บน) และ 2,4-dichlorophenol (ล่าง) ตามลำดับ

Williamson ether synthesis เป็นวิธีการหนึ่งที่ใช้ในการเตรียมสารประกอบether R-O-R' ที่หมู่ R กับ R' นั้นเหมือนกันหรือแตกต่างกันก็ได้ การทำปฏิกิริยาดังกล่าวจะใช้เบสเปลี่ยน alcohol หรือ phenol ให้กลายเป็นสารประกอบ alkoxide หรือ phenoxide (ดูรูปที่ ๖) ปฏิกิริยานี้ใช้งานได้ดีในกรณีที่ R-X เป็น primary หรือ secondary halide แต่ใช้ไม่ได้ในกรณีที่ R-X เป็น aryl halide (อะตอม halogen เกาะกับอะตอม C ของวงแหวน) หรือ vinyl halide (อะตอม halogen เกาะอยู่กับอะตอม C ที่มีพันธะคู่) เพราะสารสองชนิดหลังนี้เฉื่อยต่อการทำปฏิกิริยามากเกินไป


รูปที่ ๖ การสังเคราะห์โครงสร้าง ether (R-O-R') ด้วยปฏิกิริยา Williamson synthesis ระหว่างสารประกอบที่มีหมู่ R-OH กับ R-X โดยหมู่ -OH ของแอลกอฮอล์และฟีนอลสามารถแสดงคุณสมบัติที่เป็นกรดด้วยการจ่าย H+ ออกมา โดยหมู่ -OH ของฟีนอลจะแสดงฤทธิ์เป็นกรดที่แรงกว่าหมู่ -OH ของแอลกอฮอล์

Defoliant หรือ Defoliating agent เป็นสารเคมีที่ใช้ในการทำให้ใบไม้ร่วง สารนี้แตกต่างไปจาก Herbicide หรือยาปราบวัชพืชตรงที่ ยาปราบวัชพืชนั้นเน้นไปตรงที่ไปทำให้พืชที่ไม่ต้องการนั้นตายลง ส่วน Defoliant จะไปทำให้ใบของพืช (โดยเฉพาะพืชใบกว้าง หรือใบเลี้ยงคู่) นั้นร่วงหล่น (ไม่ได้ไปฆ่าพืชให้ตาย) ในขณะที่ Herbicide ใช้ในการกำจัดพืชที่ไม่ต้องการก่อนทำการเพาะปลูกที่ต้องการ (เช่นฆ่าหญ้าก่อนปลูกข้าว) Defoliant มีการนำมาใช้ในการกำจัดใบเพื่อช่วยในการเก็บเกี่ยวผลิตภัณฑ์ (เช่นกำจัดใบฝ้ายก่อนทำการเก็บฝ้าย)
  
แนวความคิดในการนำสารเคมีทั้งสองชนิดมาใช้ในสงครามมีมาตั้งแต่ยุคสงครามโลกครั้งที่ ๒ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหาสารเคมีที่จะทำลายแหล่งผลิตอาหารของฝ่ายศัตรู แต่ที่นำมาใช้กันอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกเห็นจะได้แก่การที่รัฐบาลอังกฤษใช้ในการปราบปรามกองกำลังที่มีฃื่อว่า Malayan National Liberation Army (MNLA) ซึ่งเป็นกองกำลังติดอาวุธของพรรคคอมมิวนิสต์มาลายา (Malayan Communist Party (MCP)) ในช่วงปีค.ศ. ๑๙๔๘-๑๙๖๐ (พ.ศ. ๒๔๙๑-๒๕๐๓) ซึ่งเป็นช่วงที่อังกฤษยังปกครองมาเลเซียในฐานะเป็นอาณานิคมอยู่ (มาเลเซียได้รับเอกราชจากอังกฤษในปีค.ศ. ๑๙๕๗ (พ.ศ. ๒๕๐๐)) เหตุการณ์ในตอนนั้นทางอังกฤษเรียกว่า "Malayan Emergency" หรือ "สถานการณ์ฉุกเฉิน" (ผู้สนใจสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Malayan_Emergency)
  
ทั้ง ๆ ที่จะว่าไปแล้วการรบระหว่างทหารของรัฐบาลอังกฤษกับพรรคคอมมิวนิสต์มาลายามันจัดได้ว่าป็นการรบในรูปแบบ "สงคราม" ระหว่างกองกำลังรัฐบาลกับกองกำลังติดอาวุธของพรรคคอมมิวนิสต์มาลายา เช่นเดียวกับสงครามเวียดนามที่สหรัฐเข้าร่วมรบ แต่อังกฤษก็หลีกเลี่ยงที่จะใช้คำว่าสงคราม ตรงนี้หนังสือเรื่อง "the war of the running dogs" เขียนโดย Noel Barber (ผมไปได้มาเล่มหนึ่งเมื่อปี ๒๕๕๒ ในราคา ๒๙๓ บาท จากร้าน Kinokuniya) อธิบายไว้ว่าทางอังกฤษต้องการหลีกเลี่ยงการใช้คำว่า "สงคราม" เพราะจะทำให้บริษัทประกันมีข้ออ้างในการที่จะไม่จ่ายค่าชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยส่วนตัวแล้วผมเห็นว่าหนังสือเล่มยังสะท้อนให้เห็นภาพการเข้ามาเอาผลประโยชน์ของอังกฤษจากดินแดนที่อังกฤษเข้าไปยึดครองเพื่อส่งกลับประเทศตนเอง และการทำให้เกิดปัญหาความแตกแยกในสังคมด้วยการอพยพผู้คนให้ย้ายถิ่นฐานจากดินแดนอื่นเพื่อนำมาใช้เป็นแรงงาน (อังกฤษไม่ค่อยจะไว้ใจคนท้องถิ่นให้ทำงานให้ แต่จะใช้คนชาติอื่นมาทำงานในหลาย ๆ ด้านให้แทน โดยเฉพาะจากอินเดียและจีน)
  
2,4,5-trichlorophenoxy acetic acid และ 2,4-dichlorophenoxy acetic acid สังเคราะห์ได้จากการนำเอา 2,4,5-trichlorophenol หรือ 2,4-dichlorophenol มาทำปฏิกิริยากับ chloroacetic acid เกิดการเชื่อมต่อโมเลกุลเข้าด้วยกัน (แบบปฏิกิริยา Williamson ether synthesis) กลายเป็นผลิตภัณฑ์ดังสมการที่แสดงในรูปที่ ๗

รูปที่ ๗ ปฏิกิริยา Williamson ether synthesis (บน) ระหว่าง 2,4,5-trichlorophenol กับ chloroacetic acid เพื่อสังเคราะห์เป็น 2,4,5-trichlorophenoxy acetic acid (บางที่จะเขียนย่อว่า 2,4,5-T) และ (ล่าง) ปฏิกิริยาระหว่าง 2,4-dichlorophenol กับ chloroacetic acid เพื่อสังเคราะห์เป็น 2,4-dichlorophenoxy acetic acid (บางที่จะเขียนย่อว่า 2,4-D) ที่เป็น defoliating agent
  
สิ่งที่กองทัพอังกฤษทำก็คือเอาสารทั้ง herbicide และ defoliant นี้ไปฉีดโปรยในป่ามาเลเซียเพื่อให้ใบไม้ร่วงและต้นไม้ตาย เพื่อเป็นการตัดเสบียงอาหารกองกำลังฝ่ายตรงข้าม และยังทำให้ง่ายต่อการตรวจการณ์ทางอากาศ หนึ่งในสาร defoliant ที่อังกฤษนำไปใช้คือ 2,4,5-trichlorophenoxy acetic acid และ 2,4-dichlorophenoxy acetic acid
    
พึงระลึกว่าหมู่ -OH ของแอลกอฮอล์นั้นเกิดปฏิกิริยา esterification กับหมู่ -COOH ของกรดอินทรีย์ได้ง่าย แต่หมู่ -OH ของฟีนอลจะเกิดได้ยากกว่า ดังนั้นในกรณีนี้แทนที่หมู่ -OH จะทำปฏิกิริยากับหมู่ -COOH ของ chloroacetic acid แต่จะทำปฏิกิริยากับหมู่ Cl-CH2- แทน ถ้าต้องการจะให้หมู่ -OH ที่เกาะอยู่โดยตรงกับวงแหวนเบนซีนทำปฏิกิริยา esterification การใช้สารประกอบ anhydride จะง่ายกว่า (anhydride คือสารประกอบที่เกิดจากการที่หมู่ -COOH สองหมู่หลอมรวมเข้าด้วยกันและคายน้ำออกมา โดยหมู่ -COOH นั้นอาจอยู่ในโมเลกุลเดียวกันแต่อยู่ในตำแหน่งที่ใกล้กัน หรือมาจากต่างโมเลกุลกัน)
  
มาถึงตรงนี้ถ้าย้อนกลับไปอ่าน Memoir ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๗๙ วันศุกร์ที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ เรื่อง "Reactions of hydroxyl group" ก็จะเห็นว่าทำไปการเปลี่ยน morphine ไปเป็น heroin นั้นไม่สามารถใช้กรด acetic (CH3COOH) ได้ ก็เพราะหมู่ -OH หนึ่งในสองหมู่ของโมเลกุล morphine ที่ต้องการทำให้ปฏิกิริยานั้น เกาะอยู่โดยตรงกับวงแหวนเบนซีน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ต้องใช้ acetic anhydride (H3C(CO)-O-(CO)CH3) ในการสังเคราะห์แทน

ความสำเร็จของอังกฤษในการใช้สารนี้ทำให้ทางกองทัพสหรัฐสนใจเอามาใช้บ้าง โดยนำสารผสมระหว่าง 2,4,5-trichlorophenoxy acetic acid และ 2,4-dichlorophenoxy acetic acid (อัตราส่วนผสมประมาณ 50:50) มาใช้ในสงครามเวียดนามในชื่อ "Agent orange" โดยใช้ฉีดพ่นไปบนพื้นที่ป่าให้ใบไม้ร่วง จะได้ง่ายต่อการตรวจการเคลื่อนไหวภาคพื้นจากทางอากาศ ประมาณกันว่ากองทัพสหรัฐนำใช้ถึง ๕๐ ล้านลิตรในระหว่างสงคราม
  
ในระหว่างการสังเคราะห์ 2,4,5-trichlorophenoxy acetic acid นั้น อะตอม Cl ของ 2,4,5-trichlorophenol ก็สามารถเข้าทำปฏิกิริยากับหมู่ -OH ของ 2,4,5-trichlorophenol อีกโมเลกุลหนึ่งได้ ทำให้เกิดการหลอมรวมกันของโมเลกุล 2,4,5-trichlorophenol สองโมเลกุลเป็นสารประกอบ "dioxin" ดังแสดงในรูปที่ ๘ ข้างล่าง (dioxin หรือไดออกซิน เป็นสารประกอบ heterocyclic ที่เป็นวง ๖ อะตอม โดยอะตอม C สองอะตอมถูกแทนที่ด้วยอะตอม O ถ้าอะตอม O สองอะตอมนั้นอยู่เคียงข้างกันก็จะเรียกว่าเป็นสารประกอบ o-dioxin หรือ 1,2-dioxin แต่ถ้าอะตอม O สองอะตอมนั้นอยู่ตรงข้ามกันดังตัวอย่างที่แสดงในรูปที่ ๘ ก็จะเป็นสารประกอบที่เรียกว่า 1,4-dioxin หรือ p-dioxin)


รูปที่ ๘ ปฏิกิริยาระหว่างโมเลกุล 2,4,5-trichlorophenol สองโมเลกุลหลอมรวมเข้าด้วยกัน (ตามแบบ Williamson ether synthesis) ที่สามารถเกิดขึ้นระหว่างการสังเคราะห์ trichlorophenoxy acetic acid นำไปสู่การเกิดสารประกอบ 2,3,7,8-tetrachlorodibenzoparadioxin ที่เป็นสารพิษที่มีความเป็นพิษร้ายแรงในอันดับต้น ๆ ที่มนุษย์รู้จัก
  
2,3,7,8-tetrachlorodibenzoparadioxin นี้เป็นสารพิษที่มีความเป็นพิษร้ายแรงในอันดับต้น ๆ ที่มนุษย์รู้จัก มีการประมาณการกันว่าจากจำนวน Agent orange ที่กองทัพสหรัฐอเมริกานำไปฉีดพ่นในเวียดนามใต้นั้นอาจมีสารประกอบ dioxin มากถึง ๑๗๐ กิโลกรัมที่ถูกฉีดพ่นกระจายไปพร้อมกับ Agent orange

๑๗๐ กิโลกรัมนี้มากแค่ไหน คงเป็นคำถามที่หลายคนสงสัย แต่ถ้าพิจารณาว่าปริมาณที่สารนี้สามารถทำให้สัตว์เสียชีวิตได้คือ "หนึ่งในพันล้านเท่าของน้ำหนักตัว" หรือ (10-9 x น้ำหนักตัว) ก็คงจะมองเห็นภาพอันตรายของสารนี้ชัดขึ้น

อีกเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้สารไดออกซินนี้เป็นข่าวใหญ่เกรียวกราวไปทั่วโลก จนมีการนำมาบรรจุไว้ในบทเรียนของนิสิตวิศวกรรมเคมีในวิชาด้านความปลอดภัยของอุตสาหกรรมเคมี คืออุบัติเหตุที่เมือง Seveso ประเทศอิตาลี ในปีค.ศ. ๑๙๗๖ (พ.ศ. ๒๕๑๙) เรื่องนี้เคยเล่าเอาไว้แล้วใน Memoir ปีที่ ๖ ฉบับที่ ๖๖๔ วันจันทร์ที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๖ เรื่อง "การรั่วไหลของDioxinที่เมืองSevesoประเทศอิตาลี"
  
และในปีพ.ศ. ๒๕๔๒ (ค.ศ. ๑๙๙๙) สารประกอบไดออกซินนี้ก็กลับมาเป็นข่าวอีกครั้ง โดยครั้งนี้เกิดขึ้นที่ประเทศไทยเอง ที่สนามบินบ่อฝ้าย อ.บ่อฝ้าย จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่มีการขุดค้นพบถังสารเคมีที่กองทัพสหรัฐอเมริกาฝังเอาไว้ตั้งแต่สมัยสงครามเวียดนาม รายละเอียดเหตุการณ์เป็นอย่างไรก็ลองอ่านตาม link ที่ให้ไว้หรือรูปที่ ๙ ก็แล้วกัน


รูปที่ ๙ รายละเอียดการค้นพบถังบรรจุ Agent orange ที่นำมาใช้ในสมัยสงครามเวียดนาม และกองทัพสหรัฐอเมริกาฝังทิ้งเอาไว้ที่สนามบิน ภาพข่าวนำมาจากบทความเรื่อง "เหตุเกิดที่บ่อฝ้าย อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ - ศูนย์ข้อมูลพิษวิทยา" เขียนโดย ดร.สุมล ปวิตรานนท์ http://webdb.dmsc.moph.go.th/ifc_toxic/a_tx_21_002c.asp?info_id=322
  
เหตุผลหนึ่งที่ผมสนใจอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาตร์ เพราะมันบอกให้รู้ถึงความต้องการที่จะเอาชนะของมนุษย์ เครื่องมือที่มนุษย์ใช้ในความพยายามที่จะเอาชนะธรรมชาติและคู่แข่งคือวิทยาศาสตร์
  
และเหตุผลที่ทำให้ผมเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพราะอยากให้ผู้ที่คิดว่าเคมีอินทรีย์เป็นเรื่องน่าเบื่อ เรียนไปแล้วไม่รู้ว่าจะเอาไปใช้ทำอะไร จะได้มีตัวอย่างให้มองเห็นภาพบ้างว่าความรู้จากวิชานี้ ในอดีตได้เคยมีการนำไปใช้เพื่อที่จะเอาชนะทางการทหารและการเมืองอย่างไรบ้าง


Alexander William Williamson (1842-1904)

ภาพจากหนังสือ Ray Q. Brewster and William E. McEwen, "Organic Chemistry", 3rd., Prentice-Hall, Inc. 1961. โดยมีคำบรรยายภาพว่า English chemist, was a student of Liebig at Giessen. In 1849 he was appointed professor of "practical chemistry" at University College, London, and was connected with that institution until his retirement in 1887.

วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2556

การรั่วไหลของ dioxin ที่เมือง Seveso ประเทศอิตาลี MO Memoir : Monday 9 September 2556

ในเช้าวันเสาร์ที่ ๑๐ กรกฎาคม ปีค.ศ. ๑๙๗๖ (พ.ศ. ๒๕๑๙) วาล์วระบายความดัน(,) ของถังปฏิกรณ์ (chemical reactor) ของโรงงาน Icmesa Chemical Company ที่เมือง Seveso ประเทศอิตาลี เปิดออก ทำให้ของที่อยู่ในถังปฏิกรณ์กระจายออกมาครอบคลุมส่วนหนึ่งของเมืองเกิดเป็นหมอกควันขาว จากนั้นฝนที่ตกหนักก็ได้ชะเอาหมอกควันขาวลงสู่พื้น

เมือง Seveso นี้ห่างจาก Milan ประมาณ ๑๕ ไมล์ ในเวลานั้นมีพลเมืองราว ๆ ๑๗,๐๐๐ คน ถังปฏิกรณ์ที่เกิดปัญหาเป็นถังปฏิกรณ์ที่ใช้สำหรับผลิต 2,4,5-tricholorophenoxyacetic acid (ใช้ในการผลิตสารกำจัดวัชพืช - herbicide) ประมาณว่ามีสารรั่วไหลออกมาจากถังปฏิกรณ์ประมาณ 6 ตัน โดยมี 2,3,7,8-tetrachlorodibenzoparadioxin() หรือ TCDD ซึ่งเป็นสารเคมีในกลุ่มสารประกอบ dioxin ปนอยู่ด้วยประมาณ 1-2 กิโลกรัม()

TCDD เป็นสารพิษที่ร้ายแรงระดับต้น ๆ ที่มนุษย์รู้จัก

เนื้อใน Memoir ฉบับนี้เป็นตอนต่อเนื่องจาก memoir ปีที่ ๖ ฉบับที่ ๖๖๓ วันเสาร์ที่ ๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๖ เรื่อง "Phenol, Ether และ Dioxin" เอกสารที่ใช้ในการเรียบเรียง memoir ฉบับนี้คือ
(1) Lees, F.P., "Loss prevention in the process industries", Butterworths, 1980, vol 2. เรื่องนี้อยู่ใน Appendix 2 Seveso หน้า 883-885
(2) Kletz, T., "Learning from accidents in dustry", Butterworths, 1988 เรื่องนี้อยู่ใน Chapter 9 Seveso หน้า 79-82
(3) Wilson, D.C., "Lessons from Seveso", Chemistry in Britain, July 1982, หน้า 499-504 ดาวน์โหลดได้ที่
http://www.davidcwilson.com/Seveso.pdf

หมายเหตุ
() ในหนังสือของ Lees ระบายออกทาง "safety valve" ส่วนหนังสือของ Kletz กล่าวว่าระบายออกทาง "bursting disc" และในเอกสาร (3) ก็แสดงรูปที่มีการติดตั้ง bursting disc ไว้เหนือถังปฏิกรณ์ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะหนังสือของ Lees ฉบับดังกล่าวตีพิมพ์หลังเกิดอุบัติเหตุไม่นาน ผู้เขียนเองกล่าวไว้ว่าตอนที่เขียนเรื่องเหตุการณ์นี้ยังไม่มีรายงานการสอบสวนที่เป็นทางการพิมพ์เผยแพร่ อาศัยข้อมูลที่ได้มาจาก "technical literature" และรายงานข่าว ซึ่งในบางกรณีไม่สามารถตรวจสอบความถูกต้องได้ แต่ถ้าเป็นฉบับพิมพ์ครั้งล่าสุดจะมีข้อมูลที่สมบูรณ์กว่ามาก
() safety valve นั้น เมื่อความดันลดลงก็วาล์วก็จะปิด การรั่วไหลก็จะหยุด แต่ bursting disc นั้นจะไม่สามารถปิดได้ bursting disc นั้นจะใช้สำหรับการระบายความดันที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว (เช่นการระเบิด) ซึ่งในกรณีเช่นนี้ safety valve จะไม่สามารถระบายความดันได้ทันเวลา
() หนังสือของ Less ใช้ชื่อ "2,3,7,8-tetrachlorodibenzoparadioxin" ส่วนหนังสือของ Kletz ใช้ชื่อ "2,3,7,8-tetrachlorodibenzodioxin"
() ในหนังสือของ Lees ประมาณตัวเลขปริมาณ dioxin ที่รั่วไหลออกมาที่ 2 kg ส่วนหนังสือของ Kletz ให้ตัวเลข 1 kg

โรงงานดังกล่าวทำการผลิต 2,4,5-trichlorophenol จากปฏิกิริยาระหว่าง 1,2,4,5-tetrachlorobenzene และNaOH ในภาวะที่มี ethylene glycol และ xylene ร่วมด้วย เครื่องปฏิกรณ์ที่ใช้เป็นถังปั่นกวนชนิด batch แผนผังของระบบแสดงไว้ในรูปที่ ๑

ในกระบวนการผลิตนั้นจะบรรจุสารตั้งต้นเข้าไปในถังปฏิกรณ์ และให้ความร้อนจนมีอุณหภูมิ 150ºC จนพบว่าไม่มีน้ำเกิดขึ้น จากนั้นจึงค่อย ๆ เพิ่มอุณหภูมิให้สูงขึ้นอย่างช้า ๆ จนถึง 170ºC เพื่อกำจัด xylene จากนั้นจึงกำจัด ethylene glycol ด้วยการใช้สุญญากาศ ต่อมาในปีค.ศ. ๑๙๗๑ (พ.ศ. ๒๕๑๔) ก็มีการปรับเปลี่ยนวิธีการใหม่จากการกำจัดตัวทำละลายทั้งหมดเป็นการกำจัดออกเพียง 50% ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการสลายตัวของ sodium 2-hydroxyethoxide (เกิดจากปฏิกิริยาระหว่าง NaOH กับ ethylene glycol) ดังสมการ

ปฏิกิริยาการเกิด NaOH + HO-CH2-CH2-OH → NaO-CH2-CH2-OH
ปฏิกิริยาการสลายตัว NaO-CH2-CH2-OH → NaO2C-CH2-OH + H2 + ความร้อน

รูปที่ ๑ แผนผังถังปฏิกรณ์ที่เกิดปัญหา (จาก ref. 3) TCB คือ trichlorophenol

ปฏิกิริยาการสลายตัวที่เป็นปฏิกิริยาคายความร้อนนั้นประมาณว่าจะเริ่มเกิดที่อุณหภูมิ 230ºC และถ้าปล่อยให้สูงถึง 410ºC ก็จะไม่สามารถควบคุมได้ ตัวถังปฏิกรณ์นั้นติดตั้ง bursting disc โดยกำหนดให้แตกออกที่ 3.8 atm 230ºC นี้ก็เป็นอุณหภูมิที่ทำให้ 2,4,5-trichlorophenol สองโมเลกุลเริ่มรวมกันเป็น TCDD ได้เช่นเดียวกัน
 
หลังจากการกำจัด ethylene glycol แล้วก็จะทำการหยุดปฏิกิริยาด้วยการเติมน้ำเย็นในปริมาณมาก เพื่อลดอุณหภูมิสารผสมในระบบให้เหลือประมาณ 50ºC ซึ่งที่อุณหภูมินี้จะสามารถปล่อยให้สารอยู่ในถังปฏิกรณ์ได้เป็นเวลานาน
 
ตามกฎหมายของประเทศอิตาลี (ในเวลาที่เกิดเหตุนั้น) กำหนดให้โรงงานต้องหยุดเดินเครื่องในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ แม้ว่ากระบวนการผลิตจะยังค้างอยู่ก็ตาม ในวันที่เกิดเหตุนั้นพนักงานปฏิบัติการจำเป็นต้องหยุดเดินถังปฏิกรณ์ (ตามกฎหมาย) ในช่วงขั้นตอนการ shut down ระบบ ซึ่งการหยุดเดินเครื่องในช่วงจังหวะการทำงานนี้ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทำให้ไม่มีการระบายเอาสารที่อยู่ในถังปฏิกรณ์ออกมา (แสดงว่าการ shut down ที่สมบูรณ์จะต้องกระทำจนนำเอาสารที่อยู่ในถังปฏิกรณ์ (ผลิตภัณฑ์) ออก) ในขณะที่ทำการหยุดเดินเครื่องนั้นเพิ่งจะกำจัดตัวทำละลายได้เพียง 15% เท่านั้นเอง
 
อุณหภูมิในถังปฏิกรณ์ในขณะนั้นอยู่ที่ 158ºC ซึ่งต่ำกว่าอุณหภูมิ 230ºC ที่เชื่อกันในขณะนั้นว่าเป็นอุณหภูมิที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาคายความร้อนที่ไม่ต้องการได้ (ต่อมาภายหลังมีการสงสัยกันว่าอุณหภูมิต่ำเพียงแค่ 180ºC ก็สามารถทำให้ปฏิกิริยาคายความร้อนที่ไม่ต้องการคือการสลายตัวของ sodium 2-hydroxyethoxideได้)
 
ถังปฏิกรณ์ได้รับความร้อนผ่านทางท่อไอน้ำที่ล้อมรอบอยู่ทางผนังด้านนอก (ดูรูปที่ ๒ ข้างล่าง) ไอน้ำนี้ได้มาจากไอน้ำด้านขาออกของกังหันไอน้ำจากหน่วยผลิตอีกหน่วยหนึ่ง ในระหว่างช่วงวันทำงานนั้นอุณหภูมิไอน้ำที่ระบายออกมาจะมีอุณหภูมิประมาณ 190ºC แต่ในวันที่เกิดเหตุนั้นเนื่องจากกังหันไอน้ำมีภาระงาน (load) ที่ลดลง เนื่องจากโรงงานอยู่ระหว่างการหยุดเดินเครื่องในช่วงสุดสัปดาห์ ทำให้อุณหภูมิไอน้ำที่ส่งมายังถังปฏิกรณ์สูงขึ้นเป็น 300ºC

รูปที่ ๒ แผนผังอย่างง่ายของถังปฏิกรณ์ที่เกิดปัญหา (วาดใหม่โดยอาศัย ref. 2)

เนื้อโลหะบริเวณใต้ผิวของเหลว (ก) จะมีอุณหภูมิที่จุดเดือดของของเหลว (ประมาณ 160ºC) ในขณะที่เนื้อโลหะส่วนที่อยู่เหนือผิวของเหลว (ข) จะมีอุณหภูมิประมาณอุณหภูมิไอน้ำ (ประมาณ 300ºC) บริเวณระดับผิวบนของของเหลว อุณหภูมิจะอยู่ระหว่าง 160-300ºC ซึ่งมากพอที่จะทำให้เกิดปฏิกิริยาคายความร้อนที่ไม่ต้องการได้ในบริเวณนี้
 
คาดการณ์กันว่าปฏิกิริยาคายความร้อน (ที่ไม่ต้องการให้เกิดนั้น) เริ่มเกิดขึ้นบริเวณผิวบนของของเหลว (ค) ความร้อนที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาจึงค่อย ๆ สะสมในระบบ ทำให้อุณหภูมิระบบสูงขึ้น ซึ่งเป็นการเร่งให้ปฏิกิริยาเกิดเร็วขึ้นไปอีก ดังนั้นหลังจากที่ทำการหยุดเดินเครื่องไปประมาณ ๗ ชั่วโมง rupture disc ก็เกิดการฉีกขาด และปล่อยให้สารที่อยู่ในถังปฏิกรณ์รั่วไหลออกสู่บรรยากาศ
 
การรั่วไหลของ TCDD ที่ Seveso นั้นไม่ได้เป็นการรั่วไหลครั้งแรก ก่อนหน้านี้ก็มีการรั่วไหลมาหลายครั้งแล้ว เพียงแต่เกิดในบริเวณจำกัด ภายในอาคาร จะมีกรณีของ Seveso ที่มีการรั่วไหลในปริมาณมากออกนอกอาคารและแพร่กระจายเข้าไปในแหล่งชุมชน ใน ref. 1 ให้ตัวอย่างการรั่วไหลของ TCDD ที่เคยเกิดก่อนหน้า Seveso ไว้ ๓ ตัวอย่างและมาตรการการจัดการไว้ดังนี้
 
ปีค.ศ. ๑๙๕๓ (พ.ศ. ๒๔๙๗) เกิดการรั่วไหลที่บริษัท BASF ที่เมือง Ludwigshafen ประเทศเยอรมัน ปริมาณ TCDD ที่รั่วไหลนั้นต่ำกว่าที่เกิดที่ Seveso มาก มีคน ๕ คนได้รับพิษจาก TCDD ได้มีหลายมาตรการในความพยายามที่จะกำจัด TCDD ที่ปนเปื้อนอยูในอาคาร รวมทั้งการใช้สารชะล้าง การใช้ไฟเผาพื้นผิว การกำจัดวัสดุฉนวนความร้อน ฯลฯ แต่ก็ไม่สามารถกำจัดได้ ท้ายสุดต้องทำลายอาคารทั้งอาคาร
 
ปีค.ศ. ๑๙๖๓ (พ.ศ. ๒๕๐๖) เกิดการรั่วไหลที่บริษัท Philips Ltd. ที่เมือง Duphar ประเทศเนเธอร์แลนด์ ประมาณว่ามี TCDD รั่วออกมาระหว่าง 0.03-0.2 kg มีเจ้าหน้าที่ประมาณ ๕๐ มีส่วนในการทำความสะอาด ซึ่งต่อมีในบรรดาผู้ที่เข้าทำความสะอาดเสียชีวิตไป ๔ ราย และอีกจำนวนไม่น้อยมีอาการทางผิวหนังจากการได้รับผลกระทบ อาคารดังกล่าวถูกปิดผนึกไว้เป็นเวลาสิบปีก่อนที่จะทำการรื้อ ด้วยการรื้ออิฐทีละก้อนจากทางด้านในอาคาร จากนั้นนำเศษทรากที่รื้อออกมานั้นไปหล่อคอนกรีตทับ และนำไปทิ้งในมหาสมุทรแอตแลนติก
 
ปีค.ศ. ๑๙๖๘ (พ.ศ. ๒๕๑๑) เกิดการรั่วไหลที่บริษัท Coalite Chemical Co. Ltd. ที่เมือง Bolsover ประเทศอังกฤษ เหตุการณ์ครั้งนี้คล้ายคลึงกับที่เกิดที่ Seveso คือปฏิกิริยาสังเคราะห์ trichlorophenol เกิดการเร่งตัวเองจนไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้ถังปฏิกรณ์ระเบิดออก และนักเคมีผู้ดูแลการสังเคราะห์ดังกล่าวเสียชีวิต โรงงานดังกล่าวถูกปิดเป็นเวลา ๒ สัปดาห์ก่อนที่จะเปิดดำเนินการใหม่ แต่ใน ๗ เดือนให้หลังพบว่ามีผู้แสดงอาการได้รับสาร TCDD ถึง ๗๙ ราย ทำให้ต้องทำการรื้อโรงงานดังกล่าวและนำชิ้นส่วนไปฝังในหลุมลึก (ไม่มีการระบุว่าเป็นหลุมแบบไหน)

Prof. Kletz (ref. 2) ได้กล่าวไว้ว่าเหตุการณ์ที่ Seveso คงจะไม่เกิดถ้าหากผู้มีอำนาจไม่ทำการผ่านกฎหมายที่ทำให้ผู้ปฏิบัติงานนั้นไม่มีอิสระในการทำให้กระบวนการผลิตเสร็จสิ้นก่อนเริ่มวันหยุดสุดสัปดาห์ และในกระบวนการผลิตแบบ batch นั้นไม่ควรที่จะมีการค้างการผลิตไว้กลางคัน (กล่าวคือควรทำให้เสร็จสิ้นไปจนจบแล้วค่อยหยุดเดินเครื่อง)
 
นอกจากนี้ถ้ามีการศึกษา Hazop (Hazard and operability study) ก็อาจป้องกันการเกิดอุบัติเหตุดังกล่าวได้ โดยการเลือกใช้ตัวกลางให้ความร้อนที่ไม่สามารถทำให้ระบบร้อนจนมีอุณหภูมิสูงจนทำให้เกิดปฏิกิริยาที่ไม่สามารถควบคุมได้ (เช่นใช้ไอน้ำที่อุณหภูมิไม่เกิน 180ºC ในการให้ความร้อนแก่ระบบ)
และที่สำคัญคือควรมีการติดตั้งระบบดักจับสารที่จะรั่วไหลออกมาจากถังปฏิกรณ์ (โรงงานที่เกิดเหตุไม่มีอุปกรณ์ดังกล่าวสักระบบ)

แต่จะว่าไปแม้ว่ามีการติดตั้งอุปกรณ์ดักจับ ก็อาจไม่สามารถป้องกันอันตรายจากสารเคมีที่รั่วออกจากระบบได้ ถ้าหากไม่มีการดูแลรักษาให้อุปกรณ์ดังกล่าวพร้อมทำงานตลอดเวลา ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการรั่วไหลของ methy isocyanate จากโรงงานบริษัท Union Carbide ที่เมือง Bhopal ประเทศอินเดียในวันที่ ๓ ธันวาคมปีค.. ๑๙๘๔ (.. ๒๕๒๗) ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายพันคน ผู้บาดเจ็บและพิการอีกนับแสนราย แม้ว่าโรงงานดังกล่าวจะมีการติดตั้งทั้งระบบทำความเย็น (เพื่อป้องกันไม่ให้อุณหภูมิถังปฏิกรณ์สูงเกินไป) หอชะล้าง (scrubber เพื่อทำหน้าที่ชะล้างไอที่รั่วไหลออกมา) และระบบ flare (ที่ทำหน้าที่เผาแก๊สที่รั่วไหลออกมา) แต่เมื่อถึงเวลาเกิดเหตุกลับพบว่าระบบทั้ง ๓ ไม่สามารถใช้งานได้ทั้ง ๓ ระบบ ผลที่ตามมาคือหายนะที่ทำให้มีผู้ได้รับผลกระทบมากที่สุดในประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมเคมี

วันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2556

Phenol, Ether และ Dioxin MO Memoir : Saturday 7 September 2556

ผมมักจะบอกคนที่เรียนอินทรีย์เคมีเสมอว่า ในการทำความเข้าใจปฏิกิริยาที่เกี่ยวข้องกับสารต่าง ๆ นั้น อย่าไปมองว่าเป็นการทำสังเคราะห์ "สาร" ใด หรือเป็นการทำปฏิกิริยาของ "สาร" ใด แต่ให้มองว่าเป็นการสังเคราะห์ "หมู่ฟังก์ชัน" (functional group) ใด หรือเป็นการทำปฏิกิริยาของ "หมู่ฟังก์ชัน" ใด
  
การมองเป็น "หมู่ฟังก์ชัน" แทนการมองเป็น "สาร" มันช่วยให้เข้าใจอะไรได้ง่ายขึ้นเยอะ โดยเฉพาะการทำปฏิกิริยาของโมเลกุลที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ซับซ้อนมากขึ้น และมีหมู่ฟังก์ชันหลายหมู่
  
เพื่อให้เห็นภาพ เราลองมาดูปฏิกิริยาตัวอย่างกัน

. Chlorination of benzene

ปฏิกิริยาระหว่างธาตุฮาโลเจนกับไฮโดรคาร์บอนนั้นมีกล่าวกันอยู่ทั่วไปในตำราอินทรีย์เคมี การแทนที่อะตอม H ที่เกาะอยู่กับอะตอม C อิ่มตัวด้วยการทำปฏิกิริยากับ Cl2 หรือ Br2 นั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่การแทนที่อะตอม H ที่เกาะอยู่กับอะตอม C ที่เป็นส่วนหนึ่งของวงแหวนอะโรมาติกนั้นเป็นเรื่องที่ยากกว่ามาก และในกรณีหลังนี้จำเป็นต้องใช้ภาวะการทำปฏิกิริยาที่รุนแรงกว่าโดยมีตัวเร่งปฏิกิริยาช่วย
  
ตัวอย่างเช่นในกรณีของปฏิกิริยาระหว่างเบนซีน (C6H6) กับ Cl2 ภายใต้ภาวะการทำปฏิกิริยาที่เหมาะสมและมีตัวเร่งปฏิกิริยาที่เหมาะสม (มักเป็นพวก Lewis acid ที่แรงเช่น FeCl3) อะตอม Cl จะสามารถเข้าไปแทนที่อะตอม H ที่เกาะอยู่กับวงแหวนได้ กลายเป็นสารประกอบ chlorobenzene 
   
แต่ข้อเสียของปฏิกิริยานี้คือผลิตภัณฑ์ที่ได้นั้นมักจะเป็นผลิตภัณฑ์ผสมของ chlorobenzene ที่มีการแทนที่หลากหลายตำแหน่ง กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเป็นไปได้ที่จะได้ผลิตภัณฑ์ที่มีการแทนที่ตั้งแต่ 1-6 ตำแหน่ง ทำให้ต้องมีการแยกผลิตภัณฑ์ที่ได้นั้นออกเป็นสารต่าง ๆ อีกครั้ง chlorobenzene ที่มีการแทนที่หลายตำแหน่งเช่น 1,2,4-trichlorobenzene และ 1,2,4,5-tetrachlorobenzene ก็เตรียมได้จากกระบวนการผลิตเช่นนี้

รูปที่ ๑ (ซ้าย) 1,2,4-trichlorobenzene (ขวา) 1,2,4,5-tetrachlorobenzene

. Nucleophilic aromatic substitution ของ aryl halide

สารประกอบ organic halide โดยเฉพาะพวก aklyl halide ต่าง ๆ นั้นปรากฏอยู่ทั่วไปในตำราอินทรีย์เคมี เพราะเราสามารถแทนอะตอม halide ด้วยหมู่ฟังก์ชันหมู่อื่นได้ ดังนั้นสารประกอบ alkyl halide จึงมักถูกใช้เป็นตัวกลางในการ เตรียมสารประกอบอื่น (ในห้องปฏิบัติการคงใช่ แต่ในระดับอุตสาหกรรมนั้นไม่ค่อยชอบการเตรียมผ่าน alkyl halide นัก)
แต่ในกรณีของ aryl halide นั้นเหตุการณ์กลับตรงข้ามกัน เพราะการแทนที่อะตอมฮาโลเจนที่เกาะอยู่กับวงแหวนอะโรมาติกของ aryl halide ทำได้ยากกว่ามาก จำเป็นต้องใช้การทำปฏิกิริยาที่รุนแรง (โดยอาจต้องมีตัวเร่งปฏิกิริยาร่วมด้วย) ปฏิกิริยานี้เรียกว่า Nucleophilic aromatic substitution
ตัวอย่างของปฏิกิริยานี้ได้แก่ปฏิกิริยา hydrolysis ของ chlorobenzene ด้วยเบส (OH-) หรือไอน้ำ หมู่ -OH จะเข้าไปแทนที่อะตอม -Cl ที่เกาะอยู่กับวงแหวนได้ดังปฏิกิริยา

รูปที่ ๒ ปฏิกิริยา Nucleophilic aromatic substitution อะตอม -Cl ด้วยหมู่ -OH

. Williamson ether synthesis

เราสามารถสังเคราะห์อีเทอร์ (R1-O-R2) ได้จากปฏิกิริยา dehydration ของแอลกอฮอล์ แต่ต้องใช้ภาวะที่เหมาะสม ไม่เช่นนั้นหมู่ -OH ของแอลกอฮอล์จะเปลี่ยนไปเป็นพันธะ C=C แทนการหลอมรวมกันของหมู่ -OH สองหมู่ วิธีการนี้ใช้ได้ดีในกรณีที่ต้องการอีเทอร์ที่มีหมู่ R1 และ R2 ที่เหมือนกัน (คือมีแอลกอฮอล์เพียงชนิดเดียวเป็นสารตั้งต้น) 
 
แต่การเตรียมด้วยปฏิกิริยา dehydration นี้จะมีปัญหาถ้าเราต้องการอีเทอร์ที่มีหมู่ R1 และ R2 ที่แตกต่างกัน เพราะเราต้องผสมแอลกอฮอล์สองชนิดเข้าด้วยกัน (R1-OH และ R2-OH) ผลิตภัณฑ์ที่ได้จะประกอบด้วยอีเทอร์ 3 ชนิดด้วยกันคือ R1-O-R1 R2-O-R2 และ R1-O-R
  
Williamson ether synthesis เป็นวิธีการที่เหมาะสมกว่าสำหรับเตรียมอีเทอร์ที่มีหมู่สองข้างของอะตอม O ที่แตกต่างกัน ปฏิกิริยานี้เป็นการทำปฏิกิริยากันระหว่างหมู่ -OH ของแอลกอฮอล์ (ของฟีนอลด้วย) กับสารประกอบ organic halide ดังปฏิกิริยาที่แสดงในรูปที่ ๓ ข้างล่าง
  
รูปที่ ๓ (บน) ปฏิกิริยาระหว่าง 2,4,5-trichlorophenol กับ chloroacetic acid จะได้ 2,4,5-trichlorophenoxy acetic acid (ล่าง) ปฏิกิริยาระหว่าง 2,4-dichlorophenol กับ chloroacetic acid จะได้ 2,4-dichlorophenoxy acetic acid
  
ในระหว่างการทำปฏิกิริยาดังกล่าว โมเลกุล 2,4,5-trichlorophenol อาจทำปฏิกิริยากันเอง เชื่อมต่อเป็นโมเลกุลที่ใหญ่ขึ้นดังรูปที่ ๔ ข้างล่าง เกิดเป็นสารประกอบ 2,3,7,8-tetrachlorodibenzoparadioxin ในภาวะการทำปฏิกิริยาปรกตินั้นจะเกิดสาร dioxin ดังกล่าวน้อยมาก (ในปริมาณที่เรียกว่า trace amount) แต่ถ้าอุณหภูมิการทำปฏิกิริยาสูงมากเกินไป จะทำให้เกิด dioxin ได้ในมากขึ้น

รูปที่ ๔ การเกิด 2,3,7,8-tetrachlorodibenzoparadioxin จากปฏิกิริยาการหลอมรวมกันของ 2,4,5-trichlorophenol สองโมเลกุล

dioxin ตัวนี้จัดว่าติด ๑ ใน ๓ สารที่เป็นพิษรุนแรงที่สุดที่มนุษย์รู้จัก การทดสอบในสัตว์ทดลองพบว่าปริมาณเพียงแค่ 10-9 เท่าของน้ำหนักตัว (หนึ่งในพันล้านของน้ำหนักตัวสัตว์ทดลองบางชนิด) ก็สามารถทำให้เสียชีวิตได้ นอกจากนี้ยังสามารถทำให้เกิดโรคมะเร็งและความผิวปรกติทางพันธุกรรมได้

สารผสมระหว่าง 2,4,5-trichlorophenoxy acetic acid (50%) กับ 2,4-dichlorophenoxy acetic acid (50%) ถูกนำมาใช้เป็นสาร defoliant (สารทำให้ใบไม้ร่วง) โดยกองทัพสหรัฐในสงครามเวียดนาม ทั้งนี้เพื่อให้กองทัพสหรัฐสามารถตรวจจับการเคลื่อนพลทางบกของกองทัพเวียดนามเหนือจากทางอากาศได้ สารดังกล่าวเป็นที่รู้จักในนาม "Agent orange" หรือที่คนไทยเรียก "ฝนเหลือง" ประมาณว่าจากปริมาณสาร defoliant ดังกล่าวที่กองทัพสหรัฐใช้ในสงคราม มีสาร dioxin ดังกล่าวประมาณ 170 กิโลกรัมที่ถูกโปรยลงไป

ที่เขียนมานี้เป็นการปูพื้นฐานให้กับเรื่องถัดไปที่มีผู้ขอมา คือการรั่วไหลของสารประกอบ dioxin ที่โรงงานของบริษัท Icmesa Chemical Companyที่เมือง Seveso ประเทศอิตาลี ในเช้าวันเสาร์ที่ ๑๐ กรกฎาคม ปีค.. ๑๙๗๖ (.. ๒๕๑๙) ที่ได้กลายเป็นกรณีศึกษาที่สำคัญกรณีหนึ่งในสาขาวิศวกรรมเคมี

อันที่จริงเรื่องนี้ผมก็สอนไว้ในวิชาเคมีอินทรีย์ ไม่รู้ว่าคนที่เคยเรียนวิชานี้กับจะยังจำเรื่องนี้ได้หรือเปล่า รุ่นสุดท้ายที่ได้เรียนก็คือพวกปี ๔ ในขณะนี้