แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ hydroxylation แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ hydroxylation แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2560

รู้ทันนักวิจัย (๕) พื้นที่ผิว BET กับขนาดรูพรุน MO Memoir : Friday 30 June 2560

การวัดพื้นที่ผิวของแข็งที่มีรูพรุนด้วยการใช้การดูดซับแก๊สไนโตรเจนไม่เพียงแต่จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับขนาดพื้นที่ผิวของของแข็งมีรูพรุนแล้ว ข้อมูลความสัมพันธ์ระหว่างความดันที่ใช้และปริมาณแก๊สที่พื้นผิวดูดซับเอาไว้ได้ ยังช่วยบ่งบอกให้ทราบขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของรูพรุนด้วย และรูปร่าง hysteresis loop ของเส้นการดูดซับ-คายซับยังช่วงบ่งบอกถึงรูปร่างของรูพรุนและการกระจายตัวของขนาดรูพรุน
 
ตารางในรูปที่ ๑ เป็นข้อมูลพื้นที่ผิวและขนาดเฉลี่ยรูพรุนของตัวอย่าง ๗ ชนิดด้วยกัน ส่วนรูปที่ ๒ และ ๓ เป็นเส้นไอโซเทอมการดูดซับ-คายซับแก๊สไนโตรเจนของของแข็งแต่ละตัว ลองพิจารณาข้อมูลดังกล่าวดูเอาเองก่อนนะครับ
  
รูปที่ ๑ ตารางแสดงค่าพื้นที่ผิว BET (SBET) ปริมาตรรูพรุน (Vt) และขนาด "เฉลี่ย" ของรูพรุน


รูปที่ ๒ กราฟไอโซเทอมการดูดซับ-คายซับของตัวอย่าง G

รูปที่ ๓ กราฟไอโซเทอมการดูดซับ-คายซับของตัวอย่าง A-F

สมมุติว่าเราให้รูพรุนมีรูปร่างเป็นทรงกระบอก พื้นที่ผิวของรูพรุนก็คือพื้นที่ผนังทรงกระบอกนั่นเอง พื้นที่ผนังทรงกระบอกจะแปรผันตามขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของทรงกระบอก แต่ปริมาตรทรงกระบอกจะแปรผันตามขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางยกกำลัง ๒ กล่าวคือสำหรับทรงกระบอกยาวเท่ากัน ทรงกระบอกที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง ๓ หน่วยจะมีพื้นที่ผิวเป็น ๓ เท่าและปริมาตรเป็น ๙ เท่าของทรงกระบอกที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง ๑ หน่วย หรือทรงกระบอกที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง ๑ หน่วยจำนวน ๙ ชิ้นจะมีปริมาตรเท่ากับทรงกระบอกที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง ๓ หน่วย ๑ ชิ้น แต่จะมีพื้นที่ผิวมากกว่า ๓ เท่า
 
ดังนั้นวัสดุของแข็งที่มีรูพรุน จะมีพื้นที่ผิวรูพรุนได้มากก็ต่อเมื่อรูพรุนมีขนาดเล็ก ยิ่งพื้นที่ผิวมีมากขึ้น จำนวนรูพรุนขนาดเล็กก็จะมากตามไปด้วย
 
ทีนี้ลองกลับไปพิจารณาข้อมูลในรูปที่ ๑ ดูใหม่นะครับ ตรงความสัมพันธ์ระหว่างพื้นที่กับขนาดเฉลี่ยรูพรุน เช่นตรงตัวอย่าง G กับ F ที่มีพื้นที่ผิวในระดับเดียวกัน แต่ขนาด "เฉลี่ย" รูพรุนแตกต่างกันสองเท่า และในกรณีของตัวอย่าง A C B และ D ที่มีขนาดรูพรุนเฉลี่ยเล็กกว่าของตัวอย่าง G กับ F แต่มีพื้นที่ผิวต่ำกว่ามาก
 
ขนาดรูพรุนที่เกี่ยวข้องกับของแข็งที่ใช้เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธพันธ์หรือสารดูดซับนั้นมีอยู่ด้วยกันสองส่วน ส่วนแรกคือรูพรุนขนาดเล็กหรือ micro pore ที่เป็นรูพรุนที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ 2 nm ลงไป ส่วนที่สองคือรูพรุนขนาดกลางหรือ meso pore ที่เป็นรูพรุนที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ 2 nm ขึ้นมาถึงประมาณ 100 nm สำหรับของแข็งที่มีพื้นที่ผิวไม่มาก (คร่าว ๆ ก็ไม่เกิน 200 m2/g พื้นที่ผิวส่วนใหญ่จะเป็นของ meso pore แต่ในกรณีของของแข็งที่มีพื้นที่ผิวสูง (คร่าว ๆ ก็ 300 m2/g ขึ้นไป) พื้นที่ผิวส่วนใหญ่จะเป็นของ micro pore ยิ่งพวกที่มีพื้นที่ผิวเข้าไปหาหลัก 1000 m2/g อาจเรียกได้ว่ากว่าร้อยละ 80 หรือ 90 ของพื้นที่ผิวที่เห็นนั้นจะเป็นของ meso pore หรือพวกที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่า 2 nm จากข้อเท็จจริงตรงนี้ทำให้เห็นความขัดแย้งของข้อมูลในรูปที่ ๑ ตรงขนาดพื้นที่ผิวที่วัดได้กับขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเฉลี่ย เช่นในกรณีของตัวอย่าง G ที่มีพื้นที่ผิวระดับ 800 m2/g แต่กลับเห็นรูพรุนมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเฉลี่ยใหญ่กว่า 4 nm คำถามก็คือมันมีความผิดพลาดในการวิเคราะห์ตรงไหนจึงทำให้ได้ผลออกมาอย่างนั้น
 
ความผิดพลาดในการรายงานผลก็คือ เขาไม่ได้ทำการวัด "ขนาด" ของ micro pore (เห็นได้จากการที่ไม่มีจุดข้อมูลช่วงค่า P/P0 ไต่จากศูนย์ขึ้นมาดังเช่นในรูปที่ ๔-) ตัวเลขพื้นที่ผิวที่เห็นนั้นเป็นพื้นที่ผิวรวมทั้งของ micro pore และ meso pore แต่ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง "เฉลี่ย" ที่เขานำมาแสดงนั้นมันเป็นในส่วนของ meso pore
 
การวัดขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของ micro pore เป็นงานละเอียดและใช้เวลามาก เพราะต้องค่อย ๆ เพิ่มความดันแก๊สช้า ๆ ในช่วงค่า Relative pressure (P/P0) ใกล้ศูนย์ ลองดูกราฟในรูปที่ ๔-๖ ดูก็ได้ครับ ช่วงดังกล่าว (ในกรอบสีแดง) เปลี่ยนความดันเพียงแค่นิดเดียว ปริมาตรแก๊สไนโตรเจนที่ตัวอย่างดูดซับเอาไว้ได้จะกระโดดเพิ่มขึ้นมากกระทันหัน ยิ่งกราฟช่วงนี้สูงมากเท่าใดก็แสดงว่ามี micro pore เป็นจำนวนมาก และพื้นที่ผิวของ miro pore ก็จะมากตามไปด้วย


รูปที่ ๔ กราฟไอโซเทอมการดูดซับ-คายซับของตัวเร่งปฏิกิริยา TS-PQTM
 

รูปที่ ๕ กราฟไอโซเทอมการดูดซับ-คายซับของตัวเร่งปฏิกิริยา TS-1


รูปที่ ๖ กราฟไอโซเทอมการดูดซับ-คายซับของตัวเร่งปฏิกิริยา TS-MCM-41 สังเกตดูนิดนึงนะครับว่าปริมาตรแก๊สที่ตัวอย่างนี้ดูดซับได้ทั้งหมดคือประมาณ 350 ml/g ซึ่งพอ ๆ กับของ TS-PQTM ในรูปที่ ๔ แต่พื้นที่ผิวของ TS-MCM-41 มากกว่าของ TS-PQTM อยู่สองเท่า (ตารางในรูปที่ ๗)
  
รูปที่ ๗ ข้างล่างเป็นผลการคำนวณพื้นที่ผิวทั้งหมดและส่วนของ meso pore (ขนาดระหว่าง 2 ถึง 100 nm หรือ 20 ถึง 1000 Å) จะเห็นนะครับว่าพื้นที่ผิว BET ส่วนใหญ่ที่วัดได้จะเป็นพื้นที่ผิวของ micro pore (ผลต่างระหว่างตัวเลขในช่องที่ 2 กับช่องที่ 4) เช่นในกรณีของตัวเร่งปฏิกิริยา TS-1 ที่มีพื้นที่ผิว BET 339 m2/g แต่เป็นของ meso pore เพียงแค่ 63.67 m2/g หรือไม่ถึง 20% แต่ถ้าดูปริมาตรของ meso pore จะพบว่าปริมาตรของ meso pore (ตัวเลขในช่องสุดท้าย) มีค่าเกือบสามเท่าของปริมาตร micro pore และในกรณีของตัวเร่งปฏิกิริยา Ti-MCM-41 ที่มีพื้นที่ผิว BET 965 m2/g แต่เป็นของ meso pore เพียงแค่ 87.22 m2/g หรือเพียงแค่ 9% เท่านั้นเอง


รูปที่ ๗ ผลการวิเคราะห์ตัวอย่างในรูปที่ ๔-๖

ถ้าเช่นนั้นทุกครั้งที่เราวัดพื้นที่ผิว BET เราก็ควรให้เขาวัดขนาด micro pore ให้ด้วยดีไหมครับ คำตอบก็คือถ้าคุณมีตังค์จ่าย มีคนยอมวิเคราะห์ให้คุณ และคุณมีเวลานานมากพอ คุณก็สามารถทำได้ครับ อย่างที่ผมเกริ่นมาข้างต้นว่าการวัดขนาด micro pore ด้วยนั้นมันกินเวลานานกว่าการไม่ต้องการทราบขนาดอยู่มากครับ ตัวอย่างเช่นถ้าคุณต้องการทราบเพียงแค่พื้นที่ผิว (และขนาดเฉลี่ยของ meso pore) โดยไม่สนในขนาดของ micro pore คุณก็สามารถทำการวัดโดยการเติมแก๊สไนโตรเจนให้เต็ม micro pore อย่างรวดเร็ว แล้วค่อย ๆ เติมแก๊สไนโตรเจนให้เติมเต็ม meso pore จากประสบการณ์พบว่าสำหรับตัวอย่างที่มีพื้นที่ผิวอยู่หลักหลายร้อยหรือไปแตะหลักพัน m2/g ก็ใช้เวลาวิเคราะห์ไม่กี่ชั่วโมง แต่ถ้าคุณต้องการทราบขนาด micro pore ด้วย วิเคราะห์แต่ละตัวอย่างจะใช้เวลาถึงระดับ ๒๔ ชั่วโมงกว่าจะเสร็จก็ไม่ใช่เรื่องแปลก (เอาเฉพาะตอนให้ดูดซับแก๊สนะครับ ยังไม่ต้องรวมเวลาที่ต้องใช้ในการทำสุญญากาศ)

ด้วยเหตุนี้ถ้าคุณส่งตัวอย่างให้คนอื่นทำการวิเคราะห์ให้ และคุณไม่คุยกับเขาให้เข้าใจตรงกัน มันก็ไม่แปลกนะครับถ้าเขาจะไม่วัดขนาด micro pore ให้กับคุณ เพราะมันเสียเวลาการทำงานของเขาและมีค่าใช้จ่ายต่อตัวอย่างที่สูงกว่าด้วย เพราะแทนที่ในหนึ่งวันเขาจะวิเคราะห์ได้ ๒ หรือ ๓ ตัวอย่าง (คือตัวอย่างสุดท้ายตั้งเครื่องให้มันทำงานอัตโนมัติข้ามคืนได้ แล้วค่อยมาเอาผลตอนเช้า) จะกลายเป็นว่าทำได้เพียงแค่ตัวอย่างเดียว ยิ่งเป็นเครื่องที่ใช้ร่วมกันในหน่วยงานและมีการต่อคิวใช้กันเยอะ ๆ ด้วย มันจะมีแรงกดดันจากคนที่รอต่อคิววิเคราะห์อยู่ด้วยได้เหมือนกัน
 
รูปที่ ๘ ข้างล่างเป็นการเอาข้อมูลการดูดซับในส่วนของ micro pore มาวิเคราะห์การกระจายขนาดของ micro pore ด้วยการเขียนกราฟแบบ Horvath-Kawazoe รายละเอียดตรงนี้เป็นอย่างไรขอไม่กล่าวถึงนะครับ เพราะผมเองก็ไม่ได้เข้าใจทฤษฎีเรื่องเหล่านี้ดีเท่าใดนัก


รูปที่ ๘ กราฟ Horvath-Kawazoe differential pore volume plot ของรูพรุนที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่า 2 nm

ตัวเร่งปฏิกิริยาที่ดีไม่จำเป็นต้องมีพื้นที่ผิวสูงนะครับ มันยังขึ้นกับเฟสของการเกิดปฏิกิริยาและขนาดโมเลกุลของสารตั้งต้น ถ้าสารตั้งต้นของคุณมีโมเลกุลใหญ่ เช่น triglyceride ของกรดไขมันจากน้ำมันปาล์มที่มีจำนวนอะตอม C อยู่ที่ระดับ ๑๖ อะตอมหรือมากกว่า (ของน้ำมันถั่วเหลือจะอยู่ที่ระดับ ๒๐ อะตอมหรือมากกว่า) แถมยังมีโมเลกุลกรดไขมันนี้ ๓ โมเลกุลแผ่กระจายเป็น ๓ แขนออกไป ลองคิดดูง่าย ๆ นะครับว่าความยาวเฉลี่ยพันธะ C-C อยู่ที่ประมาณ 0.15 nm ดังนั้นกรดไขมันที่มีจำนวนอะตอม C ราว ๒๐ อะตอมก็น่าจะมีความยาวโซ่ไม่น้อยกว่า 2 nm (คือในความเป็นจริงอะตอม C มันไม่ได้เรียงกันเป็นเส้นตรง แต่มันสลับไปมาในสามมิติแบบฟันปลา เนื่องจากมันสร้างพันธะเป็นทรงเหลี่ยมสี่หน้า) มันจึงยากที่โมเลกุลขนาดนี้จะแพร่เข้าไปทำปฏิกิริยาใน micro pore
  
การทำปฏิกิริยาในเฟสแก๊สจะไม่มีปัญหาเรื่องความชอบของพื้นผิวต่อความเป็นขั้วของโมเลกุลสารตั้งต้น แต่การทำปฏิกิริยาในเฟสของเหลวจะมีปัญหาเรื่องนี้ได้ ในกรณีที่ปฏิกิริยาที่ศึกษานั้นมีสารตั้งต้นสองชนิด โดยตัวหนึ่งโมเลกุลมีความเป็นขั้วสูง และอีกตัวหนึ่งโมเลกุลไม่มีความเป็นขั้ว (เช่นปฏิกิริยา transesterification ระหว่างแอลกฮอล์โมเลกุลเล็กเช่นเมทานอลที่เป็นโมเลกุลมีขั้วสูงกับน้ำมันพืชที่เป็นโมเลกุลไม่มีขั้ว) ถ้าพื้นผิวชอบโมเลกุลมีขั้วมากเป็นพิเศษ มันก็จะดูดซับเอาโมเลกุลมีขั้วไว้บนพื้นผิวมากจนกระทั่งโมเลกุลไม่มีขั้วเข้าไปเกาะบนพื้นผิวไม่ได้ ปฏิกิริยาก็จะไม่เกิด และในทางกลับกันถ้าพื้นผิวชอบโมเลกุลไม่มีขั้วมากเป็นพิเศษ พื้นผิวก็จะดูดซับเอาโมเลกุลไม่มีขั้วไว้บนพื้นผิวจนเต็มไปหมดจนโมเลกุลมีขั้วแทรกเข้าไม่ถึง ปฏิกิริยาก็จะไม่เกิดเช่นกัน ปฏิกิริยา hydroxylation ระหว่างเบนซีนกับไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์เพื่อสังเคราะห์ฟีนอลก็มีปัญหานี้เช่นกัน

วันศุกร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2560

ผลของไอออนในน้ำตัวกลาง ที่มีต่อการไฮดรอกซิไลซ์เบนซีนไปเป็นฟีนอลด้วยตัวเร่งปฏิกิริยา TS-1 MO Memoir : Friday 7 April 2560

บทความเรื่อง "ผลของไอออนในน้ำตัวกลางที่มีต่อการไฮดรอกซิไลซ์เบนซีนไปเป็นฟีนอลด้วยตัวเร่งปฏิกิริยา TS-1" (Effects of ions in aqueous medium on the hydroxylation of benzene to phenol over TS-1 catalyst" ในไฟล์ที่แนบมาด้วย เป็นบทความที่เขียนเผยแพร่ไว้ในวารสารวิชาการปทุมวันปีที่ ๖ ฉบับที่ ๑๗ เดือนกันยายน - ธันวาคม ๒๕๖๐ หน้า ๔๗ - ๖๑ (Pathumwan Academic Journal, Vol. 6, No. 17, September - December 2016: 47 - 61) ผลงานชิ้นนี้เดิมเป็นวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโทของนิสิตของกลุ่มวิจัยที่สำเร็จการศึกษาไปเมื่อปีการศึกษา ๒๕๕๔
 
บทความฉบับเต็มเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ตสามารถดาวน์โหลดได้จากหน้าเว็บของวารสารวิชการการปทุมวัน หรือที่
 

วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2558

The effects of HNO3 and CH3COOH on the aqueous phase hydroxylation of benzene to phenol by H2O2 over TS-1 catalyst MO Memoir : Thursday 22 January 2558

บทความเรื่อง "The effects of HNO3 and CH3COOH on the aqueous phase hydroxylation of benzene to phenol by H2O2 over TS-1 catalyst" เป็นบทความที่นำไปเสนอในที่ประชุมวิชาการ "3rd International Thai Chemical Engineering and Applied Chemistry Conference" ระหว่างวันที่ ๑๗-๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๖ ณ โรงแรมพูลแมน ขอนแก่น ราชาออคิด ที่จัดโดยสมาคมวิศวกรรมเคมีและเคมีประยุกต์แห่งประเทศไทย และการประชุมวิชาการวิศวกรรมเคมีและเคมีประยุกต์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ ๒๓
  
บทความฉบับดังกล่าวได้รับการปรับปรุงแก้ไขและตีพิมพ์ในวารสาร "วิศวกรรมสาร มข." หรือ "KKU Engineering Journal" Vol. 41 No. 4 October-December 2014หน้า 421-426 ฉบับที่เผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ตสามารถอ่านได้ที่ http://www.en.kku.ac.th/enjournal/th/images/kkuenj_vol41no4-1.pdf

ดังนั้นสำหรับผู้ที่จะทำงานทางด้านนี้ต่อไป ถ้าจะอ้างอิงงานของรุ่นก่อนหน้าก็สามารถใช้บทความฉบับนี้ได้

วันเสาร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2557

วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2557

วันพุธที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2557

วันจันทร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2557

แนวทางหัวข้อการทำวิทยานิพนธ์นิสิตรหัส ๕๕ (ตอนที่ ๑๘) MO Memoir : Monday 6 January 2557

เอกสารฉบับนี้แจกจ่ายเป็นการภายใน ไม่นำเนื้อหาลง blog

แต่ขอนำรูปสาวสวยของกลุ่มสองรายระหว่างการทำการทดลองมาให้ชมกัน :)

เนื้อหาในเอกสารฉบับนี้เกี่ยวกับแนวทางการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาและงานที่จะทำต่อไปที่ได้มีการปรึกษาหารือกันในช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมาและในวันนี้


วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2556

แนวทางหัวข้อการทำวิทยานิพนธ์นิสิตรหัส ๕๕ (ตอนที่ ๑๗) MO Memoir : Sunday 22 December 2556

เอกสารฉบับนี้แจกจ่ายเป็นการภายใน ไม่นำเนื้อหาลง blog
  
เนื้อหาในเอกสารฉบับนี้เกี่ยวข้องกับผลการทดลองในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2556

การทำปฏิกิริยา ๓ เฟสใน stirred reactor (การทำวิทยานิพนธ์ภาคปฏิบัติ ตอนที่ ๕๘) MO Memoir : Monday 16 December 2556

"มันไม่เหมือนกันนะ" ผมบอกเขา
 
"การที่คุณบอกว่าถ้าไม่เปิด stirrer ตั้งแต่ต้นปฏิกิริยาจะไม่เกิด ไม่ได้หมายความว่าเมื่อคุณหยุด stirrer แล้วปฏิกิริยามันจะหยุด"
 
เหตุเกิดเมื่อช่วงเที่ยงวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ระหว่างวิชาสัมมนานิสิตปริญญาเอก

ในขณะที่คน (น่าจะเป็นส่วนใหญ่) มักจะเน้นไปที่ผลการทดลองและข้อสรุปที่ได้จากผลการทดลองนั้น แต่ผมมักจะย้ำกับนิสิตที่ผมดูแลอยู่เสมอว่า สิ่งสำคัญที่สุดในการทำการทดลองคือ "วิธีการทำการทดลอง" พูดง่าย ๆ ก็คือถ้า set แลปผิด ผลแลปที่ได้มาก็ไม่มีค่าแก่การพิจารณา
 
ผลการทดลองที่ทำซ้ำได้นั้นไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันว่าวิธีการทดลองที่ใช้นั้นถูกต้อง เพราะถ้าทำผิดเหมือนเดิม ผลการทดลองก็ออกมาเหมือนเดิม แต่มันเป็นผลที่ผิด

การทำปฏิกิริยาเมื่อสารตั้งต้นที่มีมากกว่า ๑ ชนิดผสมรวมเข้าเป็นเนื้อเดียวกันได้นั้นมักไม่ค่อยมีปัญหา ที่จะมีปัญหามากกว่าคือกรณีที่มีสารตั้งต้นมากกว่า ๑ ชนิดและอยู่ในเฟสที่ต่างกันในระหว่างการทำปฏิกิริยา ตัวอย่างของการทำปฏิกิริยารูปแบบนี้ได้แก่การทำปฏิกิริยาใน stirred reactor หรือถังปั่นกวน และการทำปฏิกิริยาใน trickle-bed reactor แต่ใน Memoir ฉบับนี้จะขอจำกัดอยู่เพียงแค่ stirred reactor


รูปที่ ๑ ระบบการทำปฏิกิริยา ๓ เฟสใน stirred reactor ขนาดเล็กที่เราใช้กันอยู่ในแลป ระบบดังกล่าวอาจมีรูปแบบเป็น ตัวเร่งปฏิกิริยาที่เป็นผงของแข็ง (เฟสของแข็ง) + ตัวทำละลายและสารตั้งต้น 1 ที่ละลายอยู่ (เฟสของเหลว) + สารตั้งต้น 2 ที่เป็นแก๊ส (เฟสแก๊ส) ดังรูปซ้าย หรืออาจมีรูปแบบเป็น ตัวเร่งปฏิกิริยาที่เป็นผงของแข็ง (เฟสของแข็ง) + ตัวทำละลายและสารตั้งต้น 1 ที่ละลายอยู่ (เฟสของเหลว 1) + สารตั้งต้น 2 ที่ละลายได้น้อยในตัวทำละลาย (เฟสของเหลว 2) ดังรูปขวา

ตัวอย่างหนึ่งของการทำปฏิกิริยา ๓ เฟสใน stirred reactorที่กลุ่มเราทำกันอยู่ก็คือปฏิกิริยา hydroxylation ของbenzene ไปเป็น phenol และของโทลูอีนไปเป็น benzaldehyde, o-cresol และ p-cresol ในปฏิกิริยาดังกล่าวเราใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาที่เป็นผงของแข็งที่จมอยู่ใต้ตัวทำละลายคือน้ำ สารตั้งต้น 1 คือสารละลาย H2O2 ที่ละลายน้ำได้ดี ส่วนสารตั้งต้น 2 คือไฮโดรคาร์บอน (เบนซีนหรือโทลูอีน) ที่ละลายน้ำได้น้อยและแยกเฟสโดยจะลอยอยู่บนผิวหน้าน้ำ (รูปที่ ๑ ขวา) การปั่นกวนนั้นจะใช้แท่ง magnetic bar ร่วมกับ magnetic stirrer
 
ปฏิกิริยาจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อทั้ง H2O2 และไฮโดรคาร์บอนต้องมาอยู่บนพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยา ในส่วนของ H2O2 นั้นไม่มีปัญหาอะไร เพราะมันละลายน้ำได้ดีอยู่แล้ว ที่เป็นปัญหามากกว่าคือไฮโดรคาร์บอน เพราะมันละลายน้ำได้น้อย แถมลอยอยู่บนผิวหน้าน้ำที่ใช้เป็นตัวทำละลาย โอกาสที่มันจะแพร่ไปจนถึงพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยาได้ก็น้อยลงไปอีก
 
ในกรณีของกลุ่ม hydroxylation นั้นเราแก้ปัญหาด้วยการทำการปั่นกวนน้ำที่ใช้เป็นตัวทำละลาย (โดยมีตัวเร่งปฏิกิริยาแขวนลอยอยู่ในน้ำ) กับไฮโดรคาร์บอนที่อุณหภูมิสูงระดับหนึ่ง (ใกล้กับอุณหภูมิการทำปฏิกิริยาหรือที่อุณหภูมิการทำปฏิกิริยา) เป็นเวลาช่วงหนึ่ง การกระทำเช่นนี้ก็เพื่อไล่อากาศออกจากรูพรุนของตัวเร่งปฏิกิริยาจนหมดและแทนที่ที่ว่างในรูพรุนด้วยตัวทำละลาย และให้ชั้นน้ำอิ่มตัวไปด้วยไฮโดรคาร์บอน จากนั้นจึงค่อยฉีดสารละลาย H2O2 เข้าไปใน stirred reactor ในขณะที่ทำการปั่นกวนไปด้วย เนื่องจาก H2O2 ละลายน้ำได้ดีดังนั้นจึงถือได้ว่า H2O2 กระจายไปทั่วตัวทำละลายในระบบได้อย่างรวดเร็ว เราจึงถือว่าปฏิกิริยาเริ่มเกิดนับตั้งแต่จังหวะที่ฉีด H2O2 เข้าไปใน stirred reactor

เนื่องจากเราศึกษาปฏิกิริยา hydroxylation ที่อุณหภูมิสูงกว่าอุณหภูมิห้อง และเราได้เคยทดสอบแล้วว่าที่อุณหภูมิห้องปฏิกิริยาดังกล่าวจะไม่เกิด ดังนั้นเวลาที่เราต้องการหยุดปฏิกิริยาเราจึงสามารถใช้การลดอุณหภูมิระบบลงอย่างรวดเร็วด้วยการนำเอา oil bath ออกและแทนที่ด้วย ice bath แทน ดังนั้นเมื่อสารละลายใน stirred reactor มีอุณหภูมิลดต่ำลงจนถึงอุณหภูมิห้อง (อันที่จริงไม่ต้องลดลงถึงอุณหภูมิห้อง แม้ว่าจะสูงกว่าบ้างปฏิกิริยาก็หยุดแล้ว) ปฏิกิริยาก็จะหยุดเกิด แม้ว่าในขณะนั้นในสารละลายจะมีทั้ง H2O2 และไฮโดรคาร์บอนอยู่ก็ตาม

ปฏิกิริยาที่เป็นที่มาของ Memoir ฉบับนี้เป็นปฏิกิริยา hydrogenation (เติมไฮโดรเจน) ด้วยตัวเร่งปฏิกิริยาที่เป็นผงของแข็ง ที่เกิดขึ้นใน stirred reactor แบบเดียวกับที่กลุ่มเราใช้ แต่ในปฏิกิริยาของเขานั้นสารตั้งต้นชนิดที่ 2 คือแก๊สไฮโดรเจน (H2) ที่ละลายได้น้อยในไฮโดรคาร์บอน (alkyne C7) ที่เขาใช้เป็นสารตั้งต้นที่ 1 ที่อยู่ในเฟสของเหลว
 
ในการทำปฏิกิริยานั้นเขาใช้วิธีบรรจุตัวเร่งปฏิกิริยา (โลหะบนตัวรองรับ) เข้าไปใน reactor ตามด้วยการเติมไฮโดรคาร์บอนที่เป็นของเหลวที่อุณหภูมิห้องเข้าไป และ magnetic bar (ไม่มีขั้นตอนการไล่แก๊สออกจากรูพรุน) จากนั้นจึงค่อยอัดแก๊สไฮโดรเจนจนความดันใน reactor สูงถึงความดันที่ต้องการทำปฏิกิริยา แล้วจึงเปิด magnetic stirrer เพื่อให้ magnetic bar ปั่นกวนของเหลวในระบบ พร้อมกับเริ่มทำการจับเวลาการเกิดปฏิกิริยา ปฏิกิริยาดำเนินไปที่อุณหภูมิห้อง และเมื่อทำปฏิกิริยาไปจนถึงเวลาที่กำหนด ก็จะนำเอา reactor แช่ใน ice bath เพื่อ "หยุด" ปฏิกิริยา
 
ต่อคำถามที่ผมถามเขาว่ารู้ได้อย่างไรว่าปฏิกิริยา "หยุด" เกิด สิ่งที่เขาอธิบายเพิ่มเติมคือช่วงเวลาระหว่างการทำงานแต่ละขั้นตอนนั้น พยายามให้ระยะเวลานั้นเท่ากัน และได้เคยทดลองโดยไม่ได้เปิด magnetic stirrer (ดังนั้น maganetic bar ใน reactor ก็ไม่หมุนปั่นกวน) ก็ไม่พบว่าปฏิกิริยาเกิด

ผมก็เลยบอกเขาด้วยประโยคที่นำมาขึ้นต้น Memoir ฉบับนี้

ในการเกิดปฏิกิริยา hydrogenation ของ alkyne ในระบบนี้ ไฮโดรเจนที่เป็นแก๊สจะต้องละลายเข้าไปในไฮโดรคาร์บอนที่เป็นของเหลวก่อน (ในกรณีของเขาไม่มีการใช้ตัวทำละลาย) จากนั้นจึงไปเกิดปฏิกิริยาบนพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยา แรกเริ่มหลังจากบรรจุไฮโดรคาร์บอนและแก๊สไฮโดรเจนเข้าไปโดยที่ยังไม่มีการปั่นกวนนั้น ในเฟสของไฮโดรคาร์บอนจะมีไฮโดรเจนละลายอยู่น้อยมากหรือถือได้ว่าไม่มี โดยอาจมีแค่ตรงผิวสัมผัสระหว่างเฟสที่อยู่ด้านบน ในขณะที่ตัวเร่งปฏิกิริยาจมอยู่ที่ก้น reactor ดังนั้นปฏิกิริยาจึงไม่เกิดขึ้น
 
เมื่อเปิด magnetic stirrer ให้เกิดการปั่นกวน การปั่นกวนจะช่วยทำให้ไฮโดรเจนละลายเข้ามาในเฟสไฮโดรคาร์บอนได้ดีขึ้นและกระจายไปทั่วของเหลว ปฏิกิริยาจึงเกิดขึ้นได้
 
แต่เมื่อหยุดการปั่นกวน การละลายของไฮโดรเจนเข้ามาในเฟสของไฮโดรคาร์บอนจะหยุดไปด้วย "แต่" ในเฟสไฮโดรคาร์บอนยังมีไฮโดรเจนที่ละลายอยู่ก่อนหน้านั้นหลงเหลืออยู่ ดังนั้นในขณะนี้แม้ว่าการปั่นกวนจะยุติแล้ว แต่ปฏิกิริยาจะยังคงไม่ยุติ โดยจะยังคงดำเนินไปข้างหน้าอยู่โดยอาศัยไฮโดรเจนที่ยังหลงเหลืออยู่ในของเหลว การหยุดปฏิกิริยาตรงนี้อาจกระทำได้โดยอาศัยวิธีการต่อไปนี้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายวิธีร่วมกัน (เท่าที่ผมคิดออกขณะนี้)
 
(ก) การลดอุณหภูมิลงอย่างรวดเร็วจนถึงระดับอุณหภูมิที่ปฏิกิริยาไม่เกิด
(ข) การลดความดันของระบบเพื่อให้ไฮโดรเจนที่ละลายอยู่ในเฟสของเหลวนั้นระเหยออก
(ค) การเติมสารบางชนิดที่สามารถทำลายความว่องไวของตัวเร่งปฏิกิริยา

วิธีการที่เขาเลือกใช้คือการใช้ ice bath ลดอุณหภูมิระบบ แต่ประเด็นที่เป็นคำถามของผมที่ถามเขาก็คือเขาเคยทำการทดลองที่อุณหภูมิของ ice bath ไหมว่าปฏิกิริยามันไม่เกิดขึ้นจริง ที่ผมถามเขาคำถามนี้เป็นเพราะแม้ว่าเขาทำปฏิกิริยาที่อุณหภูมิห้อง แต่ปฏิกิริยาดำเนินไปข้างหน้าได้เร็วมาก (conversion 100% ในเวลาไม่นาน) และเท่าที่เคยเห็นนั้นปฏิกิริยาประเภทนี้ก็สามารถเกิดได้ที่อุณหภูมิการทำปฏิกิริยาที่ต่ำกว่าอุณหภูมิห้อง แม้แต่กระบวนการทำนองเดียวกันที่มีการจดสิทธิบัตรไว้ (ที่ค้นเจอ) ก็ยังอ้างว่าอุณหภูมิต่ำสุดที่เหมาะแก่การทำปฏิกิริยาคือช่วงตั้งแต่ 10ºC ขึ้นไป (แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าปฏิกิริยาเริ่มเกิดที่อุณหภูมิ 10ºC แต่หมายความว่าถ้าจะเอากระบวนการของเขาไปใช้ควรใช้อุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 10ºC) ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้มีข้อสงสัยว่าที่อุณหภูมิ 0ºC นั้น (อุณหภูมิของ ice bath) ปฏิกิริยาหยุดเกิดจริงหรือ หลังจากนั้นแล้วอุณหภูมิของของเหลวใน reactor ของเขาเป็นอย่างไร และในช่วงระหว่างเวลาดังกล่าวจนถึงเวลาขณะที่เขาทำการแยกตัวเร่งปฏิกิริยาออกจากตัวอย่างนั้น ปฏิกิริยายังดำเนินอยู่หรือเปล่า
 
ตรงนี้ผมคิดว่าถ้าเขาทำเพียงแค่ลดอุณหภูมิให้เย็นลงและปิด magnetic stirrer โดยคาดหวังว่าเมื่อปิด magnetic stirrer แล้วปฏิกิริยาจะหยุด โดยที่ไม่รักษาอุณหภูมิระบบให้คงอยู่ที่ระดับต่ำตลอดเวลานั้น เป็นไปได้ที่ปฏิกิริยายังคงดำเนินอยู่ต่อไปแม้ว่าจะไม่มีการปั่นกวน โดยอาศัยไฮโดรเจนที่ยังคงค้างอยู่ในไฮโดรคาร์บอนนั้น

และนั่นคือคำอธิบายว่าทำไมผมจึงกล่าวกับเขาด้วยประโยคข้างต้น

วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2556

แนวทางหัวข้อการทำวิทยานิพนธ์นิสิตรหัส ๕๕ (ตอนที่ ๑๖) MO Memoir : Thursday 12 December 2556

เอกสารฉบับนี้นำเนื้อหาลง blog เพียงบางส่วน

เนื้อหาในเอกสารฉบับนี้เกี่ยวกับการสอบโครงร่างวิทยานิพนธ์ในช่วงที่ผ่านมา และการประชุมกับทางบริษัทของกลุ่ม DeNOx เมื่อวันพุธที่ ๑๑ ธันวาคมที่ผ่านมา

. การสอบโครงร่างของกลุ่ม Hydroxylation

.๑ ผลของไอออนต่อการละลายน้ำของไฮโดรคาร์บอน
  
น้ำนั้นเป็นโมเลกุลที่มีขั้ว ดังนั้นสำหรับไอออนที่มีความหนาแน่นประจุสูง (ความหนาแน่นประจุดูได้จากขนาดประจุต่อขนาดของไอออน) ก็จะดึงโมเลกุลน้ำให้มาสร้างพันธะกับไอออนดังกล่าวได้ดี ผลที่ตามมาคือความแข็งแรงของพันธะไฮโดรเจนระหว่างโมเลกุลน้ำลดลง ทำให้ไฮโดรคาร์บอนแทรกเข้าไปในน้ำได้ง่ายขึ้น (หรือละลายได้มากขึ้น) จุดนี้เป็นทฤษฎีที่เราใช้อธิบายผลของไอออนต่อความสามารถในการละลายน้ำของเบนซีนและโทลูอีน
  
ดังนั้นไอออนที่มีผลจึงไม่ได้มีแต่ไอออนบวก แต่ยังมีไอออนลบด้วย แต่เนื่องจากไอออนบวกที่มีขนาดเล็ก (มีความหนาแน่นประจุสูง) นั้นหาได้ง่าย ที่เห็นได้ชัดคือ H+ และ NH4+ ในขณะที่ไอออนลบนั้นมักจะมีขนาดใหญ่กว่า ทำให้เรามุ่งเน้นไปที่ไอออนบวกมากกว่า
  
ที่เราเลือกใช้ H+, NH4+ และ Na+ ก็เพราะความหนาแน่นประจุของไอออนเหล่านี้เรียงตามลำดับ H+ > NH4+ >; Na+ ซึ่งทำให้เราสามารถทดสอบสมมุติฐานที่กล่าวมาข้างต้นได้ว่าความหนาแน่นประจุส่งผลต่อความสามารถในการละลายน้ำของไฮโดรคาร์บอน

.๒ ผลของอุณหภูมิ
   
ปฏิกิริยานี้เป็นปฏิกิริยา oxidation ดังนั้นจึงเป็นปฏิกิริยาคายความร้อน แต่ปริมาณความร้อนที่คายออกนั้นไม่มากและปริมาณสารตั้งต้นที่เกิดปฏิกิริยานั้นต่ำมากเมื่อเทียบกับปริมาตรตัวทำละลายในระบบ นอกจากนี้อุปกรณ์ของเรายังมีการสูญเสียความร้อนออกไปสู่สิ่งแวดล้อมได้มากด้วย สังเกตได้จากเราต้องใส่ความร้อนให้กับ oil bath ตลอดเวลาทำปฏิกิริยาเพื่อรักษาอุณหภูมิของระบบ ด้วยเหตุนี้เราจึงจัดได้ว่าอุณหภูมิของระบบนั้นไม่ได้เพิ่มขึ้นเมื่อปฏิกิริยาดำเนินไปข้างหน้า
  
อีกปัจจัยที่ต้องระวังไม่ให้สับสนคือปฏิกิริยานี้ไม่มีการเกิดย้อนกลับ ดังนั้นเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นปฏิกิริยาจึงดำเนินไปข้างหน้าได้เร็วขึ้น ดังนั้นที่เวลาทำปฏิกิริยาเท่ากัน พอเพิ่มอุณหภูมิเราจึงเห็นค่า conversion เพิ่มมากขึ้น
  
แต่ก็ไม่เสมอไปที่การเพิ่มอุณหภูมิจะทำให้ค่า conversion เพิ่มสูงขึ้น เพราะเมื่อเพิ่มอุณหภูมิมากขึ้น ไฮโดรคาร์บอนจะละลายเข้าไปในน้ำได้มากขึ้น และเนื่องจากธรรมชาติของตัวเร่งปฏิกิริยา TS-1 ที่พื้นผิวชอบที่จะดูดซับโมเลกุลที่ไม่มีขั้วได้ดีกว่าโมเลกุลมีขั้ว ดังนั้นถ้าหากเบนซีนหรือโทลูอีนละลายน้ำได้มากเกินไป สารเหล่านี้จะไปแย่ง H2O2 เกาะพื้นผิวเอาไว้หมด ทำให้ความเข้มข้นของ H2O2 บนพื้นผิวลดลง เราจึงมีสิทธิที่จะเห็นค่า converion ของ H2O2 ลดลงได้ที่อุณหภูมิสูงขึ้น
  
ในงานที่ทำนั้นจึงเป็นการเปรียบเทียบว่า ระหว่าง () การใช้ความเข้มข้นของไอออนสูงที่อุณหภูมิต่ำ กับ () การใช้ความเข้มข้นไอออนต่ำแต่อุณหภูมิสูง แบบไหนจะให้ค่า conversion ที่ดีกว่ากัน หรือว่าดีทั้งคู่ ขึ้นอยู่กับความพอใจของผู้เลือกใช้ว่าจะเลือกใช้แบบไหน เงื่อนไขในการพิจารณาตรงนี้อาจต้องดูจากพลังงานที่ต้องใช้ในการเพิ่มอุณหภูมิ กับความยากง่ายในการแยกเอาเกลือ/กรดกับผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นออกจากกัน (เพราะต้องใช้พลังงานเหมือนกัน) และการกัดกร่อนอุปกรณ์เนื่องจากกรด/เกลือที่ใช้ด้วย

.๓ มาตรฐาน TS-1
  
ในการสอบนั้นกรรมการท่านหนึ่งถามว่ารู้ได้อย่างไรว่าเตรียมตัวเร่งปฏิกิริยาแล้วได้ TS-1 ตรงนี้เราต้องมาทำความเข้าใจนิยามของตัวเร่งปฏิกิริยา TS-1 ก่อน
  
ตัวเร่งปฏิกิริยา TS-1 นั้นมีการจดสิทธิบัตรไว้โดย Taramasso และคณะ (ดู Taramasso, M., Perego, G. and Noiari, B. U.S patent. (1983) 4,410,501) ในการจดสิทธิบัตรนี้มีการอ้างถึง
  
() รูปแบบโครงสร้างจาก XRD ที่ต้องมีโครงสร้างแบบ MFI
() การที่ไอออน Ti4+ เข้าไปแทนที่ไอออน Si4+ ซึ่งดูได้จาก FT-IR
  
ส่วนอัตราส่วน Si/Ti จะเป็นเท่าใดนั้นขึ้นอยู่กับว่าเราแทนที่ Si4+ ด้วย Ti4+ ได้มากน้อยเท่าใด

.๔ สัดส่วน Si/Ti ที่แท้จริง
   
การเตรียม TS-1 นั้นเรามีการแยกเอาสารที่ใช้ในการเตรียมบางส่วนทิ้งไป ปัญหาก็คือเราไม่รู้ว่า Ti ที่ใส่เข้าไปนั้นไปอยู่ในส่วนของแข็งมากน้อยเพียงใด และอยู่ในส่วนของเหลวที่แยกทิ้งไปนั้นมากน้อยเพียงใด ดังนั้นค่าสัดส่วน Si/Ti ที่ใช้ในสูตรการเตรียมนั้นจึงไม่เท่ากับค่าสัดส่วน Si/Ti ของตัวเร่งปฏิกิริยาสุดท้ายที่เตรียมได้
  
ด้วยเหตุนี้ในการนำเสนอจึงต้องมีความชัดเจนว่าค่าสัดส่วน Si/Ti ที่กล่าวถึงนั้นเป็นค่าสัดส่วน “ที่ใช้ในการเตรียม” หรือเป็นของ “ตัวเร่งปฏิกิริยาที่เตรียมได้

. การสอบโครงร่างของกลุ่ม DeNOx

.๑ เกณฑ์การเปรียบเทียบตัวเร่งปฏิกิริยา
  
ในการสอบนั้น มีกรรมการท่านหนึ่งถามถึงเกณฑ์การเปรียบเทียบตัวเร่งปฏิกิริยาว่าใช้อะไรเป็น “เกณฑ์” แต่ก่อนอื่นเราต้องหานิยามของคำว่า “เกณฑ์” ก่อน
  
ปัญหาหนึ่งของการเปรียบเทียบคือ ควรเปรียบเทียบบนพื้นฐานที่มีอะไรสักอย่างที่ “เท่ากัน” บ่อยคร้งที่การใช้ “น้ำหนัก” ที่เท่ากันเป็นตัวเปรียบเทียบก่อให้เกิดปัญหาความไม่ทัดเทียมกัน ผมขอลองยกตัวอย่างเช่นสมมุติว่าเรามีตัวเร่งปฏิกิริยาสองตัว คือ MoO3/TiO2 กับ WO3/TiO2 โดยทำการเปรียบเทียบที่ wt% ของ MoO3/TiO2 เท่ากับ WO3/TiO2 นั้น ถ้าคิดเป็น “โมล” หรือจำนวนไอออนบวกแล้ว ที่ wt% เท่ากับ MoO3/TiO2 จะมีจำนวนโมลหรือจำนวนไอออนบวกที่มากกว่าของ WO3/TiO2 (เพราะน้ำหนักอะตอมของ Mo ต่ำกว่าของ W) 
   
และถ้าสมมุติว่าตำแหน่งที่เกิดปฏิกิริยา (active site) คือตำแหน่งของไอออนบวกด้วยแล้ว ตัวเร่งปฏิกิริยา MoO3/TiO2 ก็จะมีจำนวน active site มากกว่าของตัวเร่งปฏิกิริยา WO3/TiO2 ดังนั้นในกรณีนี้ถ้าเราเห็นตัวเร่งปฏิกิริยา MoO3/TiO2 มีความว่องไวสูงกว่าตัวเร่งปฏิกิริยา WO3/TiO2 ที่ wt% เท่ากัน ก็ไม่ได้หมายความว่า MoO3 มีความว่องไวมากกว่า WO3 แต่อาจเป็นเพราะตัวเร่งปฏิกิริยา WO3/TiO2 มีจำนวน active site ที่ต่ำกว่า
  
ในทางกลับกันที่ wt% เท่ากันถ้าเราเห็นตัวเร่งปฏิกิริยา WO3/TiO2 มีความว่องไวสูงกว่าตัวเร่งปฏิกิริยา MoO3/TiO2 เราจะสามารถสรุปได้ว่า WO3 มีความว่องไวมากกว่า MoO3 
   
ในกรณีของตัวเร่งปฏิกิริยาที่เป็น "โลหะ" นั้นจะสามารถใช้ค่า TON (turn over number) หรือ TOF (turn over frequency) ในการเปรียบเทียบ TON และ TOF มีความหมายเดียวกันคือค่าอัตราการเกิดปฏิกิริยาต่อหน่วย actve site 
   
ค่า active site หมายถึงตำแหน่งอะตอมบนพื้นผิวที่เร่งปฏิกิริยาที่ต้องการ แต่ในความเป็นจริงนั้นไม่ใช่ทุกอะตอมที่อยู่บนพื้นผิวจะเป็น active site แต่ปัญหาก็คือเราไม่สามารถวัดจำนวน active site ได้ ดังนั้นจึงมักใช้ค่าจำนวนอะตอมที่อยู่บนพื้นผิวมาแทนจำนวน active site การวัดจำนวนอะตอม "โลหะ" ที่อยู่บนพื้นผิวกระทำได้โดยใช้เทคนิคการดูดซับด้วย probe moleculeเช่น CO adsorption หรือ H2 adsorption เพราะแก๊สเหล่านี้จะดูดซับเฉพาะบนอะตอมโลหะ (oxidation state = 0) ไม่เกิดการดูดซับบนไอออนบวกและไอออนลบ ค่าจำนวนอะตอมโลหะที่อยู่บนพื้นผิวต่อจำนวนอะตอมโลหะที่ใส่เข้าไปทั้งหมดคือค่า "การกระจายตัวของโลหะ" หรือ "dispersion"
  
ค่า dispersion นี้จะเพิ่มมากขึ้นเมื่อผลึกโลหะบน support นั้นมีขนาดเล็กลง (ดูรูปที่ ๑ ประกอบ) และว่าไปแล้วอันที่จริงผลึกโลหะที่เกิดขึ้นบน support ก็มักจะเป็นผลึกขนาดนาโนเมตรอยู่แล้ว แต่การใช้คำว่า dispersion มันไม่ตามกระแสคำว่า "นาโน" ที่คนเขาเห่อใช้กัน ทำให้ช่วงหลัง ๆ เห็นมีหลายรายเปลี่ยนวิธีการเรียกเป็นเรียก "ผลึกขนาดนาโน" แทน ทั้ง ๆ ที่มันเป็นเรื่องเดิม ๆ ไม่มีอะไรใหม่เลย
  
และบางทีมันก็ไม่เกี่ยวข้องกับความเป็น "นาโนเมตร" ของผลึก มันเป็นเพราะตำแหน่ง active site ที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาที่ต้องการนั้นเป็นตำแหน่งอะตอมที่อยู่ที่ "มุม" หรือ "ขอบ" ของผลึก และที่ปริมาณโลหะเท่ากัน ถ้าได้ผลึกขนาดเล็กกว่าก็จะมีจำนวนอะตอมที่อยู่ที่ "มุม" หรือ "ขอบ" ของผลึกมากกว่าเท่านั้นเอง


รูปที่ ๑ ผลึกโลหะในรูปซ้ายและขวาประกอบด้วยอะตอมโลหะ (วงกลม) จำนวน 28 อะตอมเท่ากัน แต่เฉพาะอะตอมที่อยู่บนพื้นผิว (สีเหลือง) ที่มีโอกาสเป็น active site อะตอมที่อยู่ใต้พื้นผิว (สีส้ม) ไม่มีโอกาสเป็น active site เพราะสารตั้งต้นเข้าหาไม่ได้ ค่า dispersion คือจำนวนอะตอมสีเหลืองต่อจำนวนอะตอมทั้งหมด (สีเหลือง + สีส้ม) จะเห็นว่าเมื่อผลึกโลหะมีขนาดเล็กลง (รูปขวา) สัดส่วนอะตอมที่อยู่บนพื้นผิว (หรือค่า dispersion) จะเพิ่มมากขึ้น (จาก 13/28 เป็น 17/28)

การใช้ค่า dispersion นี้ "ใช้ไม่ได้" กับกรณีของโลหะออกไซด์ เพราะเราไม่มี probe molecule ที่เลือกดูดซับเฉพาะบนไอออนที่เราต้องการ NH3 ที่ใช้กันนั้นมันเกาะทั้งบน support และ oxide ที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ดังนั้นผลที่เห็นจากการวัด NH3 adsorption คือปริมาณที่เกาะทั้งบน support และ oxide จะมีเว้นก็ต่อเมื่อ support ที่ใช้นั้นดูดซับ NH3 ได้น้อยมากเมื่อเทียบกับสารประกอบโลหะออกไซด์ที่เติมเข้าไป หรือในกรณีที่ความแรงในการจับ NH3 ของ support นั้นแตกต่างไปจากความแรงในการจับ NH3 ของโลหะออกไซด์ที่เราเติมเข้าไป ในกรณีเหล่านี้เราอาจจะใช้ปริมาณ NH3 ที่ตัวเร่งปฏิกิริยาดูดซับเอาไว้ได้มาเป็นตัวบ่งบอกการกระจายตัวของโลหะออกไซด์บนพื้นผิวได้ 
   
ที่ผ่านมานั้นเราเคยใช้วิธีการนี้ในการประมาณการกระจายตัวของโลหะออกไซด์ต่าง ๆ ที่เราเติมลงไปบน TiO2 (anatase) เพราะโลหะออกไซด์ที่เราเคลือบลงไปบนพื้นผิว TiO2 (anatase) นั้นจับ NH3 ได้แน่นกว่าตัวพื้นผิวของ TiO2 เอง เราจึงใช้ปริมาณของ NH3 ที่คายออกที่อุณหภูมิสูง (คายออกจาก strong acid site) เป็นดัชนีหนึ่งที่ใช้บ่งบอกการกระจายตัวของโลหะออกไซด์ที่เราเคลือบลงไปบนพื้นผิว TiO2 (anatase)
  
.๒ ค่า conversion ของโลหะออกไซด์แต่ละชนิด
  
สารประกอบโลหะออกไซด์ที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาได้ ไม่ได้หมายความว่ามันจะต้องให้ค่า conversion ที่สูง มันเพียงแค่ทำให้ปฏิกิริยาเกิดขึ้นได้เท่านั้นเอง เวลาที่เขาจดสิทธิบัตรจึงมักจะอ้างสิทธิสารประกอบโลหะออกไซด์เหล่านี้เอาไว้ด้วย
  
การที่เราต้องวิเคราะห์ความสามารถในการทำปฏิกิริยาของสารประกอบโลหะออกไซด์เดี่ยวก่อน จากนั้นจึงค่อยทำการวิเคราะห์ความสามารถในการทำปฏิกิริยาของสารประกอบโลหะออกไซด์ผสมก็เพราะต้องการศึกษาดูว่าเมื่อมีสารประกอบโลหะออกไซด์ตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปอยู่ร่วมกัน มันจะส่งผลในการทำปฏิกิริยากันอย่างไร ซึ่งอาจเป็นรูปแบบ () ต่างคนต่างอยู่ () ส่งผลเสริมกัน หรือ () ส่งผลหักล้างกัน
  
ในกรณีที่เป็นรูปแบบ () ต่างคนต่างอยู่นั้น ค่า conversion ของตัวเร่งปฏิกิริยาโลหะออกไซด์ผสมที่ได้จะ "ประมาณเท่ากับ" ค่า conversion ที่ได้จากตัวเร่งปฏิกิริยาโลหะออกไซด์เดี่ยวแต่ละตัวรวมกัน (แต่ทั้งนี้ต้องทำการทดลองในช่วงที่ให้ค่า conversion ที่ไม่มากเกินไป) ในรูปแบบนี้มักเป็นกรณีที่โลหะออกไซด์สองชนิดที่เติมเข้าไปนั้นต่างคนต่างอยู่ คือไม่มีการหลอมรวมกันหรืออยู่ติดกัน
  
ถ้าเป็นตามรูปแบบ () ส่งผลเสริมกัน เราจะเห็นค่า conversion ของตัวเร่งปฏิกิริยาโลหะออกไซด์ผสม "สูงกว่า" ค่า conversion ที่ได้จากตัวเร่งปฏิกิริยาโลหะออกไซด์เดี่ยวแต่ละตัวรวมกัน
  
และถ้าเป็นตามรูปแบบ () ส่งผลหักล้างกัน เราจะเห็นค่า conversion ของตัวเร่งปฏิกิริยาโลหะออกไซด์ผสม "ต่ำกว่า" ค่า conversion ที่ได้จากตัวเร่งปฏิกิริยาโลหะออกไซด์เดี่ยวแต่ละตัวรวมกัน
  
ในรูปแบบ () และ () นั้นมักเป็นกรณีที่โลหะออกไซด์สองชนิดที่เติมเข้าไปนั้นอาจมีการหลอมรวมกันเป็นโลหะออกไซด์ตัวใหม่ หรือไอออนบวกของโลหะตัวหนึ่งเข้าไปแทรกอยู่ในสารประกอบออกไซด์ของโลหะอีกตัวหนึ่ง หรือเป็นผลึกโลหะสองชนิดที่สัมผัสกันและมี "อันตรกิริยา - interaction" กระทำต่อกัน

ส่วนที่อยู่ต่อจากนี้ให้ไปอ่านในฉบับ pdf ที่ส่งให้ทางอีเมล์