วันพุธที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๒๑ ทางหลวงล่องใต้ MO Memoir : Wednesday 11 July 2555


ฉบับแรกของปีที่ ๕ นี้ออกล่าช้าไปหน่อยเพราะมัวแต่วุ่นอยู่กับปัญหาพีค NO ของ GC-2014 ECD & PDD ซึ่งตอนนี้หลังจากโทรคุยโทรศัพท์กับสาวน้อยหน้าบาน (คนใหม่) เมื่อสักชั่วโมงที่ผ่านมาก็คิดว่าปัญหาคงไม่ได้อยู่ที่เครื่อง GC แล้ว แต่น่าจะอยู่ที่ระบบ tubing ของอุปกรณ์ทดลอง (ปัญหาเดิมกลับมาใหม่อีกครั้ง)

นอกจากนี้ยังโดยไข้หวัดเล่นงานเสียอีก ติดจากลูกมาตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว จนป่านนี้ก็ยังไม่หายดี อยู่ได้ด้วยการกินยาพาราเซตามอลทีละ ๒ เม็ดทุก ๖ ชั่วโมง

วันศุกร์ที่แล้วต้องเข้าไปประชุมในห้องสำนักงานของหัวหน้าใหญ่ ห้องประชุมนี้นาน ๆ จะโดนเรียกเข้าไปที (ไม่จำเป็นไม่อยากจะเข้าไป เพราะถ้าต้องไปทีไรแสดงว่ามีเรื่องปวดหัวให้ต้องทำ) ในห้องนั้นจะมีแผนที่ทางหลวงประเทศไทยเก่า ๆ ใส่กรอบแขวนไว้ข้างฝาอยู่ฉบับหนึ่ง ผมเห็นมานานแล้ว ตอนเดินออกจากห้องนั้นทีไรก็มักจะแวะหยุดดูทุกที

แผนที่ทางหลวงเก่า ๆ นั้นผมว่ามันบอกให้เราเห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรต่อมิอะไรในประเทศของเราหลายอย่าง จากบริเวณที่เคยเป็นพื้นที่ที่ไม่มีคนอยู่หรือมีอยู่บางตา กลับกลายเป็นชุมชนใหญ่เมื่อมีถนนตัดผ่าน

การตัดถนนแต่ก่อนนั้นเข้าใจว่าจะตัดไปยังชุมชนต่าง ๆ ตอนเด็ก ๆ ไปเยี่ยมญาติทางใต้ ผู้ใหญ่ก็เล่าให้ฟังว่าแต่ก่อนพอชาวบ้านรู้ว่าจะมีโครงการตัดถนน ก็จะยกที่ตัวเองให้ เพื่อที่จะได้มีถนนผ่านแถวบ้านตัวเอง ถนนเส้นเดิมก็เลยคดไปคดมา ถนนตามแนวเดิมนั้นจะวางแนวไปบนพื้นผิวภูมิประเทศ ตรงไหนลงต่ำก็ต่ำตาม ตรงไหนขึ้นสูงก็ขึ้นสูงตาม ดังนั้นจะเห็นว่าความสูงของระดับถนนกับระดับพื้นข้างถนนนั้นจะไม่เปลี่ยนแปลงมาก

ในช่วงหลังการตัดถนนเปลี่ยนแปลงไป ใช้วิธีการวางแนวให้ตรงที่สุดเท่าที่จะตรงได้ จะหลบโค้งเมื่อจำเป็น ตรงไหนเป็นเนินดินสูงก็จะใช้วิธีตัดผ่านกลางให้มันเตี้ยลง ตรงไหนเป็นที่ต่ำก็ใช้การถมให้มันสูงขึ้น ผลออกมาก็คือใครมีบ้านที่อยู่ตรงที่เป็นเนินดินก็จะเห็นระดับพื้นดินบ้านตัวเองนั้นอยู่สูงเหนือพื้นถนนหรือไม่ก็สูงกว่าหลังคารถที่วิ่งผ่านเสียอีก แต่ถ้าใครมีบ้านอยู่ตรงที่ต่ำก็อาจจะได้เห็นว่ารถดับพื้นถนนอยู่ระดับเดียวกับหลังคาบ้านตัวเอง

ผมมีโอกาสได้ขับรถไปเที่ยวทางใต้หลายครั้ง ปรกติก็จะขับลงทางฝั่งอ่าวไทยและกลับทางฝั่งอันดามัน ตอนขับลงก็จะลงไปตามถนนเพชรเกษม (ทางหลวงสาย ๔) ถึงแยกปฐมพรที่จังหวัดชุมพร ก็ขับต่อไปตามทางหลวงสาย ๔๑ ลงไปทางสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง ซึ่งเป็นจุดที่ทางหลวงสาย ๔๑ มาบรรจบถนนเพชรเกษมใหม่ และต่อลงไปยังสงขลา พอตอนกลับก็จะออกจากจังหวัดพัทลุงไปทางจังหวัดตรังตามทางถนนเพชรเกษม จำความได้ตอนเด็ก ๆ เคยนั่งรถจากพัทลุงไปทางตรัง ตรงรอยต่อระหว่างสองจังหวัดนี้ถนนเพชรเกษมต้องข้ามเขาบรรทัด เส้นทางช่วงนี้คดเคี้ยวมากจนชาวบ้านเรียกว่าถนนช่วงนี้ว่าเป็นช่วงขึ้น "เขาพับผ้า" (มันคดเหมือนผ้าที่เขาพับทบเอาไว้) ด้านหนึ่งของถนนเป็นภูเขา อีกด้านลึกต่ำลงไปมีลำธารน้ำไหลผ่าน แต่นั่นเป็นอดีตไปแล้ว เพราะมีการตัดแนวถนนดังกล่าวใหม่ แต่ถ้าใครสังเกตดูข้างทางให้ดี ๆ ก็จะพอเห็นร่องรอยของถนนเส้นเดิมหลงเหลืออยู่ (เช่นแนวถนนหรือสะพานเก่า ถ้าไม่โดนต้นไม้ขึ้นปกคลุมจนหมดเสียก่อน)

ช่วงที่ยังให้บรรยากาศเก่า ๆ ใกล้เคียงบรรยากาศเขาพับผ้าเดิมเห็นจะเป็นทางหลวงหมายเลข ๔ ช่วงอ.ทับปุด ถึง อ.เมือง จ.พังงา ถนนเส้นดังกล่าวมีคนใช้น้อยมาก คงเพราะเป็นเส้นทางขึ้นเขาและคดเคี้ยวมาก หาช่วงที่เป็นทางตรงแทบไม่ได้เลย รถใหญ่จะผ่านไปลำบาก คนก็เลยไปใช้เส้น ๔๑๕ ที่ตัดผ่านป่าชายเลนกันมากกว่า

ขับรถมาหลายถนนแล้ว (ขาดแต่ภาคอีสาน) เส้นทางที่ชอบมากเส้นทางหนึ่งคือถนนเพชรเกษมช่วงระหว่างจังหวัดระนอง ต่อไปยัง พังงา กระบี่ และตรัง เพราะให้บรรยากาศที่ไม่ทำให้รู้สึกแห้งแล้ง มีอะไรต่อมิอะไรให้ชมตลอดสองข้างทาง ถนนไม่ตรงดิ่งเป็นทางยาวที่ทำให้ขับแล้วน่าเบื่อ แต่สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องเมารถและพวกที่ชอบขับรถเร็วแล้ว คงจะไม่ชอบเส้นทางนี้แน่ เพราะส่วนใหญ่ยังเป็นถนนสองเลนอยู่ (แต่ตอนนี้ไม่รู้เหมือนกันว่ายังเป็นสองเลนเหมือนเดิมหรือเปล่า แต่ถ้าถูกขยายขึ้นเป็น ๔ เลนเมื่อใดจะรู้สึกเสียดายบรรยากาศสองข้างทางมาก

เคยสงสัยเหมือนกันว่าทำไปถนนเพชรเกษมถึงได้ตัดอ้อมไปมา จากกรุงเทพพอมาถึงชุมพรที่อยู่ฝั่งอ่าวไทยก็เลี้ยวขวาไปยังจังหวัดระนอง ไปวิ่งเลียบฝั่งอันดามันจนถึงจังหวัดตรัง จากนั้นจึงค่อยวกกลับมาฝั่งอ่าวไทยที่จังหวัดพัทลุงใหม่อีกครั้ง แต่พอได้เห็นแผนที่ฉบับนี้แล้ว (รูปที่ ๑) ก็คิดว่าที่คำตอบที่เคยคิดไว้น่าจะถูกต้อง

จังหวัดที่อยู่ริมด้านอ่าวไทยนั้นมี "ทางรถไฟ" วิ่งผ่านอยู่แล้ว นอกจากนี้ถ้าไม่ใช้รถไฟก็ยังใช้เรือเดินทางมายังกรุงเทพได้ แต่จังหวัดด้านทะเลอันดามันนั้นไม่มีรถไฟวิ่งผ่าน ถ้าจะมาเรือก็ต้องไปอ้อมที่สิงคโปร์ ดังนั้นจุดนี้จึงน่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เมื่อตัดถนนเพชรเกษมนั้นพอตัดไปถึงชุมพรก็ให้เลี้ยวไปทางจังหวัดที่อยู่ทางด้านฝั่งทะเลอันดามัน ส่วนเส้นทางจากชุมพรตรงไปยังสุราษฎ์ธานี นครศรีธรรมราช และพัทลุง ซึ่งก็คือทางหลวงสาย ๔๑ นั้นก็เก็บเอาไว้ก่อน ในแผนที่จะเห็นว่าทางหลวงสาย ๔๑ ทำเสร็จสมบูรณ์มาแค่ปากน้ำหลังสวน ชุมพร จากนั้นก็เป็นแค่จุดประ ๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าความหมายคือถนนในโครงการหรือเป็นทางลูกรัง (แต่คิดว่าน่าจะเป็นทางลูกรังมากกว่า เพราะบ้านเกิดของคุณแม่ของผมนั้นอยู่ริมถนนเส้นดังกล่าว ท่านเคยเล่าให้ฟังว่าตอนเด็ก ๆ ช่วงสงครามโลกครั้งที่สองยังได้เห็นทหารญี่ปุ่นนั่งรถผ่านถนนหน้าบ้าน)

ดังนั้นแต่ก่อนถ้าใครจะเดินทางไปสุราษฎร์ธานีหรือนครศรีธรรมราชทางรถยนต์ก็ต้องเดินทางกว่าพันกิโลเมตร เพราะต้องขับรถไปทางชุมพร ระนอง ลงไปถึงอ.ตะกั่วป่า จ.พังงา จากนั้นจึงค่อยเลี้ยวเข้าทางหลวงแผ่นดินสาย ๔๐๑ (ที่ปัจจุบันมีเขื่อนเชี่ยวหลานหรือเขื่อนรัชชประภาอยู่) ผ่านคีรีรัฐนิคม แล้วค่อยไปโผล่ที่อ.พุนพิน และเข้าตัวจังหวัดสุราษฎร์ธานีอีกที

ถ้าจะไปนครศรีธรรมราช ก็ต้องขับลงต่อไปยังจังหวัดพังงา จังหวัดกระบี่ ไปถึงอำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง จากนั้นจึงค่อย้อนขึ้นตามทางหลวงสาย ๔๐๓ ไปยังอำเภอทุ่งสง อำเภอร่อนพิบูลย์ แล้วค่อยเข้าจังหวัดนครศรีธรรมราช

นั่นเป็นอดีตที่เคยได้ยินผู้ใหญ่ท่านเล่าให้ฟัง เลยเอามาบันทึกไว้กันลืม

รูปที่ ๑ แผนที่ทางหลวงสายใต้ไม่ทราบปีพ.. รู้แต่ว่าตอนนั้นทางหลวงสาย ๔๑ จากชุมพรไปยังพัทลุงพึ่งสร้างไปได้แค่อำเภอหลังสวน ดังนั้นถ้าใครจะเดินทางโดยรถยนต์ไปยังสุราษฎร์ธานีหรือนครศรีธรรมราช ต้องนั่งรถกันร่วมพันกิโลเมตรหรือมากกว่า

วันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

สุนัข อาหาร ล้างสมอง รถถัง MO Memoir : Saturday 7 July 2555


ใครที่ได้เรียนวิชาชีววิทยาในระดับมัธยมปลายก็คงจะต้องได้เรียนเรื่องเกี่ยวกับการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียผู้หนึ่งชื่อ อิวาน เปโตรวิช พาฟลอฟ (Ivan Petrovich Pavlov) ที่ทดลองเรื่องเกี่ยวกับการให้อาหารสุนัข

พาฟลอฟได้ทดลองปล่อยให้สุนัขหิวกระหาย จากนั้นก็นำมาอาหารมาให้ และสังเกตพบว่าสุนัขน้ำลายไหล

ต่อมาเขาได้ทดลองโดยก่อนที่จะนำอาหารมาให้ ก็ทำการสั่นกระดิ่งให้สุนัขได้ยินเสีย จากนั้นก็นำอาหารมาให้ ซึ่งก็พบว่าสุนัขน้ำลายไหล

ต่อมาเขาก็ได้ทดลองอีกโดยเพียงแค่ทำการสั่นกระดิ่ง ก็พบว่าสุนัขก็น้ำลายไหลแล้ว โดยที่ยังไม่ทันได้กลิ่นอาหาร

ปฏิกิริยาดังกล่าวเรียกว่า conditional reflex ซึ่งอาจแปลเป็นไทยว่าปฏิกิริยารีเฟล็กซ์แบบมีเงื่อนไข หรือปฏิกิริยาตอบสนองแบบมีเงื่อนไข (reflex เป็นการตอบสนองที่อยู่เหนืออำนาจจิตใจ เป็นการตอบสนองของกล้ามเนื้อตามธรรมชาติที่มีผลมาจากการถูกกระตุ้น)

ดูเหมือนว่าที่ผ่านมาเราจะเรียนรู้จักกันแค่นี้ แต่จะว่าไปแล้วตอนต่อจากการทดลองนี้ยังมีอีก แต่ไม่ค่อยได้รับการกล่าวถึง

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา หลังจากที่ไม่ได้เข้าไปใช้ห้องสมุดกลางของมหาวิทยาลัยมากกว่า ๑ ปี พอเข้าไปอีกทีก็เห็นอะไรต่อมิอะไรที่ชั้นล่างเปลี่ยนแปลงไปหมด ดูทันสมัยขึ้น (แต่ห้องน้ำข้างใน สมัยที่ผมเรียนหนังสือเมื่อเกือบ ๓๐ ปีที่แล้วเป็นอย่างไร ตอนนี้ก็เป็นอย่างนั้น) ต้องไปทำบัตรห้องสมุดใหม่ ซึ่งต้องใช้เป็นทั้งบัตรผ่านเข้า-ออกประตูอัตโนมัติ และบัตรยืมหนังสือในตัว

สาเหตุที่กลับไปอีกครั้งเพราะอยากจะเขียนเรื่องการทดลองของพาฟลอฟนี้ในอีกแง่มุมหนึ่งที่แทบไม่มีการกล่าวถึงกัน จำได้ว่าเคยอ่านเรื่องนี้ในหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งที่บ้านมีอยู่ แต่ตอนนี้ไม่รู้อยู่ไหนแล้วไม่รู้ว่าหายไปกับน้ำท่วมบ้านหรือเปล่า หนังสือดังกล่าวบทหน้าปกเขียนชื่อว่า "การใช้กฎหมายป้องกันคอมมิวนิสต์" เขียนโดย นายธานินทร์ กรัยวิเชียร ฉบับที่ผมไปยืมจากห้องสมุดของมหาวิทยาลัยนั้นเป็นฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๔ โดยสำนักงานปฏิบัติการจิตวิทยาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๑๖ หนังสือฉบับนี้พิมพ์ครั้งแรกในปีพ.ศ. ๒๕๐๔

อ่านถึงตรงนี้คิดว่าหลายคนคงจะงงว่าอยู่ดี ๆ ก็หักเลี้ยวจาก "การทดลองให้อาหารสุนัข" ไปยัง "การใช้กฎหมายป้องกันคอมมิวนิสต์" ได้ยังไง

ในส่วนของภาคผนวกของหนังสือเล่มดังกล่าวจะมีบทความเรื่อง "การล้างสมองในค่ายคอมมิวนิสต์" ซึ่งผู้เขียนได้ตั้งคำถามว่า "การล้างสมองเป็นเรื่องจริงหรือเป็นเพียงคำพังเพย ?" พร้อมยกตัวกรณีของจักรพรรดิ์ผู่อี้ซึ่งเป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายของประเทศจีน ซึ่งภายหลังจากการถูกควบคุมตัวโดยทางรัฐบาลจีนคอมมิวนิสต์แล้วก็ได้กลายมาเป็นคนส่วนแห่งกรุงปักกิ่ง กรณีของนักศึกษาสาวชาวอเมริกันที่เดินทางไปศึกษาต่อในจีนคอมมิวนิสต์ และภายหลังที่ถูกทางการจีนจับกุมและได้รับการปฏิบัติที่เร้นลับหลายอย่างก็กลายเป็นผู้ที่รังเกียจบ้านเกิดเมืองนอนของตนเองและคลั่งไคล้จีนคอมมิวนิสต์เป็นอย่างมาก และกรณีของเชลยศึกชาวอเมริกันที่ถูกจับกุมในระหว่างสงครามเกาหลี ที่ยอมรับต่อฝ่ายคอมมิวนิสต์ว่าเป็นผู้ดำเนินสงครามเชื้อโลกและเมื่อได้รับการปล่อยตัวมาก็ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลโรคจิต และในระหว่างการรักษาก็นั่งคุกเข่าก้มหน้าตลอดเวลาและปราถนาอยู่เพียงสิ่งเดียวคือต้องการทำลายชีวิตของตัวเอง

(เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับจักรพรรดิผู่อี้พระองค์นี้ได้เคยถูกนำมาสร้างภาพยนต์เรื่อง "The Last Emperor" หรือในชื่อไทยชื่อ "จักรพรรดิ์โลกไม่ลืม" ซึ่งเข้าฉายเมื่อปีพ.. ๒๕๓๐ หนังเรื่องนี้ได้รับรางวัลอะคาเดมีถึง ๙ รางวัล)

กลับมาที่การทดลองของพาฟลอฟต่อ

ในส่วนของบทภาคผนวกของหนังสือดังกล่าวได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่พาฟลอฟทดลองสั่งกระดิ่ง แต่ถ่วงเวลาที่จะนำเอาอาหารมาให้สุนัข โดยเพิ่มระยเเวลาระหว่างการสั่งกระดิ่งและการนำอาหารมาให้ออกไปเรื่อย ๆ พาฟลอฟพบว่าระหว่างเวลาเวลารอคอยนั้นสุนัขมีอากัปกิริยาและปฏิกิริยาผิดปรกติและมีจิตฟั่นเฟือนหรืออาการประสาทเสีย (เปรียบคล้ายกับคนที่รอคอยเหตุการณ์บางอย่างอย่างกระวนกระวายใจ)

ต่อมาพาฟลอฟก็ได้ทำการทดลองดังเดิมอีก แต่คราวนี้เปลี่ยนให้ระยะเวลารอคอยนั้นสั้นบ้าง ยาวบ้าง หรือไม่ก็ไม่มีการให้อาหารเลย ซึ่งพบว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการทำลายระบบประสาทของสุนัขโดยตรง เพราะสุนัขจะไม่รู้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับสิ่งใด

ในปีพ.ศ. ๒๔๖๗ ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญเหตุการณ์หนึ่งกับห้องปฏิบัติการวิจัยของพาฟลอฟในเมืองเลนินกราด กล่าวคือได้เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ที่เมืองดังกล่าว ห้องปฏิบัติการของพาฟลอฟที่ทำการขังสุนัขอยู่ในกรงนั้นถูกน้ำท่วมเป็นเวลาหลายวัน สุนัขต้องลอยคออยู่ในกรงในสภาพใกล้จะตาย และเมื่อพาฟลอฟนำสุนัขที่รอดชีวิตมาศึกษาพบว่าอารมณ์และอุปนิสัยเดิมของสุนัขบางตัวได้หายไปอย่างสิ้นเชิง เสมือนกับสุนัขนั้นมีมันสมองที่ว่างเปล่าแล้ว จะสอนให้มีอุปนิสัยอย่างไรก็ได้โดยปราศจากความต้านทานจากธรรมชาติของร่างกายและจิตใจ

เชื่อว่าความรู้ดังกล่าวถูกนำมาใช้ในการล้างสมองมนุษย์เพื่อทำให้เปลี่ยนความเชื่อ โดยเบื้องต้นต้องหาทางทำให้บุคคลที่ต้องการให้เปลี่ยนความเชื่อนั้นเกิดอาการประสาทเสีย (ที่เรียกกันทั่วไปว่า mental breakdown) ก่อน ซึ่งอาจทำได้โดยการทำให้ชอกช้ำอิดโรยทั้งทางร่างกายและจิตใจ การทำให้สับสนในทางจิต การทรมานให้เกิดการเจ็บปวดอย่างยืดเยื้อ และการสร้างความหวาดกลัว

การทำให้เกิดความชอกช้ำอิดโรยทางร่างกายและจิตใจทำได้โดยการทำให้ผู้ถูกล้างสมองนั้นไม่มีโอกาสได้พักผ่อน เช่นทำการสอบสวนอย่างต่อเนื่องไม่ให้ได้หลับ (น่าจะรวมถึงการสอบสวนข้ามคืนโดยไม่ให้ผู้ต้องหาได้รับการพักผ่อน) เช่นคอยปลุกให้ตื่นหรือเอาไฟส่องสว่างสูงส่องหน้า (ที่เราเห็นในหนังสืบสวนสอบสวนอยู่บ่อย ๆ)

การทำให้สับสนทางจิตทำได้โดยการถามคำถามเดิม ๆ ซ้ำซากอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งเป็นคำถามชี้นำเชิงกล่าวหาให้ผู้ถูกล้างสมองนั้นยอมรับว่าได้กระทำตามสิ่งที่ถูกซักถาม โดยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนผู้เข้ามาถาม การทรมานร่างกายก็ทำได้หลายรูปแบบ (ขออนุญาตไม่เอามาเล่า) แต่ไม่ควรทำให้ผู้ที่ถูกล้างสมองนั้นถึงขั้นเสียชีวิต ส่วนการสร้างความหวาดกลัวก็มีวิธีการหลายหลาย เช่นข่มขู่ว่าจะทำร้ายญาติพี่น้อง หรือนำเอาญาติพี่น้องมาทรมานให้ดูต่อหน้า หรือในกรณีที่มีผู้ถูกคุมขังอยู่หลายคน ก็อาจใช้วิธีเรียกออกไปเพียงคนเดียว พอลับสายตาผู้ถูกคุมขังรายอื่นก็มีเสียงปืนดังขึ้น ๑ นัด จากนั้นบุคคลที่ถูกเรียกตัวไปนั้นก็ไม่กลับมาอีกเลย และไม่มีใครทราบว่าผู้นั้นเป็นตายร้ายดีอย่างไร

(ตัวอย่างของคำถามชี้นำเชิงกล่าวหาเช่น "รู้สำนึกตัวว่าผิดหรือไม่ที่ได้กระทำการดังกล่าวลงไป" ตามคำถามนี้ผู้สอบสวนบอกว่าผู้ถูกสอบสวน "ได้กระทำการดังกล่าว" ไปแล้ว แต่ไม่ยอมรับสารภาพ ดังนั้นถ้าผู้ถูกสอบสวนเผลอตอบว่า "ไม่" เมื่อไรก็จะเข้าทางผู้สอบสวนทันทีว่าได้ยอมรับว่า "ได้กระทำการดังกล่าวลงไป" แต่ไม่ยอมรับผิด ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงนั้นผู้ถูกสอบสวนนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกระทำดังกล่าวเลย คิดแต่เพียงต้องการตอบว่าเขาไม่ได้กระทำการดังกล่าว แล้วจะให้รู้สำนึกผิดได้อย่างไร แต่เมื่ออยู่ในสภาพที่ขาดการพักผ่อนและถูกถามคำถามเดิม ๆ หรือคล้าย ๆ กันซ้ำซาก ก็ทำให้สมองสับสนจนไม่สามารถจับใจความคำถามได้ คิดอยู่เพียงว่าตอบ ๆ ไปซะจะได้พ้น ๆ ซะที)

ถ้าสนใจรายละเอียดเรื่องการล้างสมองและการต่อต้านการล้างสมอง ก็ขอแนะนำให้ไปหาอ่านจากหนังสือดังกล่าว ซึ่งตอนนี้คงหาซื้อไม่ได้แล้ว คงจะหาได้แต่ห้องสมุดในมหาวิทยาลัยที่มีคณะนิติศาสตร์และ/หรือรัฐศาสตร์

ผ่านเรื่อง สุนัข อาหาร และล้างสมองแล้ว ก็เหลือเรื่องสุดท้ายคือรถถัง

ในตอนต้นของสงครามโลกครั้งที่ ๒ ในทวีปยุโรปนั้น เยอรมันใช้การจัดกำลังรถถังรวมกลุ่ม โดยอาศัยการรวมกำลังรถถังจำนวนมากเข้าด้วยกันเป็นระดับกองทัพ บุกตะลุยเข้าไปในดินแดนต่าง ๆ ของทวีปยุโรป ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ ในยุโรปยังใช้การกระจายกำลังรถถังให้ไปอยู่กับหน่วยทหารราบ

รูปที่ ๑ (ซ้าย) สุนัขติดระเบิดสำหรับทำลายรถถัง และโครงสร้างของระเบิด (ขวา) รูปถ่ายก่อนออกปฏิบัติงาน รูปจาก http://warwriting.blogspot.com/2011_01_01_archive.html

ในช่วงแรกของสงคราม อาวุธต่อสู้รถถังที่มีประสิทธิภาพได้รถถังด้วยกันหรือไม่ก็แก่ปืนใหญ่ขนาดต่าง ๆ แต่ปืนใหญ่นั้นเคลื่อนย้ายได้ลำบาก ต้องอาศัยรถลากจูง และยังต้องใช้เวลาติดตั้งอีกกว่าจะยิงได้ (เว้นแต่จะวางดักเส้นทางที่คาดว่าจะมีรถถังวิ่งผ่านเอาไว้ล่วงหน้า)

รถถังนั้นออกแบบมาเพื่อป้องกันการโดนยิงจากทางด้านหน้า ดังนั้นเกราะด้านหน้าจึงหนามาก ด้านที่บางกว่าคือด้านข้างไม่ก็ข้างหลัง อีกตำแหน่งหนึ่งที่เกราะไม่หนาคือใต้ท้องรถ

สหภาพโซเวียตคิดค้นวิธีการต่อสู้รถถังขึ้นมาใหม่ โดยอาศัยผลการทดลองของพาฟลอฟ กล่าวคือได้ทำการฝึกสุนัขโดยปล่อยให้สุนัขหิว และจัดวางอาหารสำหรับสุนัขไว้ใต้รถถัง ทำให้สุนัขคิดว่าเมื่อเห็นรถถัง ต้องมีของกินอยู่ใต้ตัวรถ

เมื่อเข้าสู่สงคราม ก็ได้มีการนำสุนัขเหล่านี้ออกรบ โดยมีการผูกระเบิดและอุปกรณ์จุดระเบิดติดเข้ากับตัวสุนัข (ดูรูปที่ ๑) โดยจะให้ทหารนำสุนัขออกไปแนวหน้า พอเห็นรถถังวิ่งมาก็จะปล่อยให้สุนัขวิ่งเข้าหารถถัง สิ่งที่คาดว่าจะเกิดคือเมื่อสุนัขมุดเข้าไปใต้ท้องรถถัง กลไกที่ติดอยู่บนหลังสุนัขจะไปจุดชนวนระเบิดที่ผูกติดกับตัวสุนัข ก็จะเป็นการทำลายรถถังด้วยการระเบิดจากด้านใต้ท้อง

ในช่วงแรกปรากฏว่าตอนฝึกสุนัขนั้น ไม่ได้ฝึกให้เคยชินกับเสียงปืนหรือระเบิด พอเข้าสนามรบจริงปรากฏว่าสุนัขที่เคยฝึกให้วิ่งเข้าใต้ท้องรถถังที่อยู่กับที่ ไม่สามารถวิ่งเข้าใต้ท้องรถถังที่กำลังเคลื่อนที่ได้ สุนัขส่วนหนึ่งตกใจเสียงปืนและระเบิดในสนามรบ ก็เลยวิ่งกลับมาหาครูฝึกแทน ผลก็คือตายทั้งสุนัขและครูฝึก

จากการที่กองทัพสหภาพโซเวียตใช้วิธีการนี้ ทำให้ทางกองทัพเยอรมันถึงกับต้องวางกำลังไว้จัดการกับสุนัขทุกตัวที่เข้ามาใกล้ และมีการเขียนคำแนะนำทำนองเสียดสี (หรือตลกร้าย) ให้กับทหารที่ได้ลาพักผ่อนกลับไปเยี่ยมบ้านจากการรบในรัสเซียว่า "ในเยอรมัน เมื่อพบเห็นสุนัขไม่จำเป็นต้องยิง มันทำได้อย่างมากคือกัดเท่านั้น"

ส่วนทางทหารรัสเซียเอง ถ้าสุนัขที่ปล่อยไปนั้นวิ่งย้อนกลับมาหาครูฝึก ก็ต้องยิงสุนัขตัวนั้นทิ้งเหมือนกัน

หวังว่าสาวน้อยคนที่เป็นครูสอนพิเศษวิชาชีววิทยาคงจะมีเรื่องเล่าให้นักเรียนฟังเพิ่มขึ้นแล้วนะ

MO Memoir ฉบับแรกออกในวันพุธที่ ๙ กรกฎาคม พ.. ๒๕๕๑ ดังนั้นฉบับนี้จะเป็นฉบับปิดท้ายปีที่ ๔ ฉบับต่อไปซึ่งเป็นฉบับที่ ๔๗๕ จะเป็นฉบับขึ้นปีที่ ๕ (ยังไม่รู้เลยว่าจะได้เขียนเรื่องอะไร แต่คาดว่าน่าจะเป็นข่าวดีเกี่ยวกับเครื่อง GC)

สรุปในรอบปีที่ ๔ นั้นมีการออก Memoir ทั้งสิ้น ๑๔๕ ฉบับ ๕๑๗ หน้ากระดาษ A4