ไม่เพียงแต่กีฬาที่มีกติกาในการเล่น
การทำสงครามก็มีกฎเกณฑ์ข้อห้ามเหมือนกัน
สงครามแสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งในการกระทำของมนุษย์
ในแง่หนึ่งนั้นคือการหาวิธีการทำลายล้างอีกฝ่ายหนึ่งให้ย่อยยับไป
แต่ในอีกแง่หนึ่งก็มีการกำหนดกติกาข้อห้ามเพื่อไม่ให้การทำลายล้างนั้นรุนแรงเกินไป
ข้อตกลงระหว่างประเทศเรื่องกติกาการทำสงครามมีมาตั้งแต่ปีค.ศ.
๑๘๙๙
(พ.ศ.
๒๔๔๒
หรือช่วงรัชกาลที่ ๕)
โดยประเทศมหาอำนาจในขณะนั้นได้มาประชุมตกลงเงื่อนไขและกติกาในการทำสงคราม
ข้อตกลงนั้นเรียกว่า "Hague
Convention 1899"
(เนื่องจากเป็นข้อตกลงที่เกิดขึ้นที่กรุง
Hague)
การยอมรับกติกานั้นแต่ละประเทศไม่จำเป็นต้องยอมรับทุกข้อ
ประเทศไหนไม่ยอมรับกติกาข้อไหน
เมื่อไปทำสงครามกับประเทศที่แม้ว่าจะยอมรับกติกาข้อนั้น
ประเทศคู่สงครามนั้นก็มีสิทธิที่จะไม่ปฏิบัติตามกติกาข้อนั้น
ในขณะที่ชาติมหาอำนาจต่าง
ๆ ในยุคนั้นที่มาประชุมตกลงกันนั้นต่างยอมรับกติกาต่าง
ๆ ทุกข้อ
จะมีเพียงแต่ประเทศสหรัฐอเมริกาที่ยอมรับกติกาบางข้อ
และไม่ยอมรับที่จะลงนามรับรองว่าจะปฏิบัติตามกติกาหลายข้อด้วยกัน
กติกาข้อหนึ่งที่ประเทศสหรัฐอเมริกาไม่ให้การรับรองคือข้อที่เรียกว่า
"Declaration
(IV,3)" ที่เกี่ยวข้องกับหัวกระสุนที่แผ่บานได้เมื่อกระทบเป้า
(expanding
bullet) ส่วนรายละเอียดเป็นยังไงนั้นดูได้ในรูปที่
๑ ในหน้าถัดไป
สำหรับผู้ที่ยังไม่มีความรู้เรื่องโครงสร้างหัวกระสุนปืน
ขอแนะนำให้ไปอ่าน Memoir
ปีที่
๒ ฉบับที่ ๑๖๒ วันจันทร์ที่
๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๓ เรื่อง "FullMetal Jacket" ก่อน
เพื่อที่จะได้เข้าใจสิ่งที่จะเล่าต่อไปนั้นได้ง่ายขึ้น
อำนาจการทำลายล้างของหัวกระสุนต่อเป้าหมายที่เป็นบุคคลนั้นขึ้นอยู่กับว่าหัวกระสุนสามารถ
"ถ่ายทอด"
พลังงานของตัวมันเองให้กับเป้าหมายได้มากน้อยเท่าใด
ถ้าหัวกระสุนสามารถ่ายทอดพลังงานได้มาก
อำนาจการทำลายล้างก็จะสูงตามไปด้วย
พลังงานของหัวกระสุนเองขึ้นอยู่กับ
"ความเร็ว"
และ
"มวล"
(ก็คือพลังงานจลน์นั่นแหละ)
แต่ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสามารถในการถ่ายทอดพลังงานนั้นขึ้นอยู่กับ
"พื้นที่หน้าตัด"
(คิดในแนวตั้งฉากกับทิศทางการเคลื่อนที่)
ที่ระดับพลังงานจลน์เท่ากัน
หัวกระสุนที่มีพื้นที่หน้าตัดที่ใหญ่กว่าจะถ่ายทอดพลังงานให้กับเป้าหมายได้มากกว่า
ที่หัวกระสุนหนักเท่ากัน
วิถีการเคลื่อนที่ของหัวกระสุนที่หน้าตัดใหญ่กว่ามักจะโค้งมากหัวกระสุนที่มีพื้นที่หน้าตัดเล็กกว่า
(เนื่องจากแรงต้านของอากาศ)
โดยเฉพาะในระยะไกล
ทำให้ยิงถูกเป้าหมายในระยะไกลได้ยากขึ้น
ดังนั้นจึงได้มีการพัฒนาหัวกระสุนให้มีรูปทรงเรียว
(หรือพื้นที่หน้าตัดเล็ก)
เพื่อที่จะแหวกอากาศได้ดีขึ้น
(รักษาพลังงานจลน์ในตัวมันเองเอาไว้ได้ดีขึ้น
เพราะลดการสูญเสียเนื่องจากแรงต้านทานของอากาศ)
แต่ให้หัวกระสุนนั้นบานขยายตัวออก
(เพื่อเพิ่มพื้นที่หน้าตัด)
เมื่อกระทบเป้า
ซึ่งอาจทำได้ด้วยการใช้หัวกระสุนที่ไม่ได้หุ้มทองแดงเอาไว้ทั้งหมด
โดยเปิดส่วนปลายยอดเอาไว้
(มีส่วนที่เป็นตะกั่วโผล่ให้เห็น)
หรือไม่ก็มีรู
(เจาะลึกลงมาตามแนวแกนยาว)
นอกจากนี้ยังมีอีกปัจจัยหนึ่งที่ต้องพิจารณาคืออำนาจ
"ทะลุทะลวง"
ซึ่งจะตรงข้ามกับความสามารถในการถ่ายทอดพลังงาน
หัวกระสุนที่จะทะลุทะลวงเป้าหมายได้ลึกควรที่จะรักษาพื้นที่หน้าตัดของหัวกระสุนเอาไว้ได้
(ไม่บานขยายตัวออก)
เพื่อให้แรงกระทำต่อหน่วยพื้นที่มีค่ามากที่สุด
ซึ่งถ้าหัวกระสุนบานเร็วเกินไป
ก็จะไม่สามารถเจาะลึกไปถึงเป้าหมายสำคัญ
(เช่นอวัยวะภายในของสัตว์ที่มีขนาดใหญ่
หนังหนา หรือบุคคลที่อยู่หลังที่กำบัง)
หัวกระสุนปืนสั้นขนาด
11
มม
กับขนาด 9
มม
ที่มีพลังงานเท่ากันและรูปแบบเดียวกัน
กระสุนขนาด 11
มม
จะถ่ายทอดพลังงานให้กับเป้าหมายที่เป็นคนได้ดีกว่า
แต่อำนาจเจาะทะลุทะลวงจะต่ำกว่า
ถ้ายิงคนที่ไม่ได้อยู่ที่ในที่กำบังเรามีสิทธิเห็นอำนาจหยุดยั้งที่สูงกว่าของกระสุน
11
มม
แต่ถ้ายิงคนที่อยู่หลังที่กำบัง
เราอาจเห็นผลที่กลับกัน
เพราะกระสุน 9
มม
เจาะทะลุที่กำบังได้ดีกว่า
รูปที่ ๑ Declaration (IV,3) ของ Hague convention 1899 ซึ่งเกี่ยวข้องกับรูปแบบหัวกระสุนที่ใช้ในการรบ นำมาจากหน้าเว็บของ International Committee of the Red Cross (ICRC)
รูปที่ ๑ Declaration (IV,3) ของ Hague convention 1899 ซึ่งเกี่ยวข้องกับรูปแบบหัวกระสุนที่ใช้ในการรบ นำมาจากหน้าเว็บของ International Committee of the Red Cross (ICRC)
ยิ่งหัวกระสุนบานออกมาเท่าใด
การถ่ายทอดพลังงานให้กับเป้าหมายก็จะมากขึ้น
บาดแผลที่เกิดขึ้นกับเป้าหมายที่เป็นสิ่งมีชีวิตก็จะรุนแรงตามไปด้วย
ในกรณีของการล่าสัตว์นั้นผู้ล่ามีวัตถุประสงค์หลักคือการ
"ฆ่า"
และหัวกระสุนไม่ควรจะทะลุเป้าหมายออกไป
หัวกระสุนล่าสัตว์จึงมักจะเน้นไปที่การบานออก
ดังเช่นตัวอย่างที่นำมาแสดงในรูปที่
๒
รูปที่ ๒ หัวกระสุนขนาด .223 Remington (ซ้าย) รุ่น Varmint X ที่ไม่มีการหุ้มทองแดงจนถึงปลายบนสุดของหัวกระสุน ส่วนปลายนั้นเป็นวัสดุพอลิเมอร์โดยมีแกนตะกั่วอยู่ข้างใน ตัวนี้เป็นหัวกระสุนน้ำหนักเบา ความเร็วสูง ออกแบบมาเพื่อการล่าสัตว์เล็ก (ที่เรียกว่า varmint) ที่เคลื่อนที่ได้รวดเร็ว (กลาง) รุ่น Power max bonded เป็นหัวกระสุนแกนตะกั่วที่มีการเว้นการหุ้มทองแดงไว้ไม่ให้ปิดจนคลุมปลายหัวกระสุน (ขวา) รุ่น Power core ที่มีการทำรูไว้ที่ปลายหัวกระสุนแต่หัวกระสุนเป็นโลหะทองแดงทั้งหัว สองแบบหลังใช้กับการล่าสัตว์ที่ใหญ่ขึ้น ต้องการการถ่ายทอดพลังงานสูงขึ้น จึงออกแบบให้หัวกระสุนบานออกเมื่อกระทบเป้า (รูปจาก http://www.winchester.com/)
รูปที่ ๒ หัวกระสุนขนาด .223 Remington (ซ้าย) รุ่น Varmint X ที่ไม่มีการหุ้มทองแดงจนถึงปลายบนสุดของหัวกระสุน ส่วนปลายนั้นเป็นวัสดุพอลิเมอร์โดยมีแกนตะกั่วอยู่ข้างใน ตัวนี้เป็นหัวกระสุนน้ำหนักเบา ความเร็วสูง ออกแบบมาเพื่อการล่าสัตว์เล็ก (ที่เรียกว่า varmint) ที่เคลื่อนที่ได้รวดเร็ว (กลาง) รุ่น Power max bonded เป็นหัวกระสุนแกนตะกั่วที่มีการเว้นการหุ้มทองแดงไว้ไม่ให้ปิดจนคลุมปลายหัวกระสุน (ขวา) รุ่น Power core ที่มีการทำรูไว้ที่ปลายหัวกระสุนแต่หัวกระสุนเป็นโลหะทองแดงทั้งหัว สองแบบหลังใช้กับการล่าสัตว์ที่ใหญ่ขึ้น ต้องการการถ่ายทอดพลังงานสูงขึ้น จึงออกแบบให้หัวกระสุนบานออกเมื่อกระทบเป้า (รูปจาก http://www.winchester.com/)
แต่ในการทำสงครามนั้นมีการใส่มุมมองที่ว่าเป็นการทำให้ฝ่ายตรงข้าม
"หมดสภาพที่จะทำการรบได้ต่อไป"
ซึ่งหมายถึงการบาดเจ็บจนไม่สามารถสู้รบต่อไปได้
ดังนั้นจึงได้เกิดแนวความคิดขึ้นมาว่าหัวกระสุนที่ใช้ในการสงครามนั้นไม่ควรที่จะทำให้เกิดบาดแผลที่ฉกรรจ์เกินไปที่ยากแก่การรักษา
(ถ้าผู้ถูกยิงยังมีชีวิตอยู่)
โดยในยุคที่มีความคิดนี้เกิดขึ้น
(คือเมื่อปลายศตวรรษที่
๑๙ หรือกว่าเมื่อร้อยปีมาแล้ว)
สิ่งที่มีให้เปรียบเทียบกันในยุคนั้นคือหัวกระสุนที่เคลือบทองแดงเอาไว้ทั้งหมด
ที่เรียกว่า Full
Metal Jacket กับหัวกระสุนที่ไม่ได้หุ้มทองแดงเอาไว้ทั้งหมด
คือเปิดส่วนปลายยอดเอาไว้
หรือมีการบาก (หรือตัด)
ร่องที่หัวกระสุน
และเมื่อเปรียบเทียบบาดแผลที่ผู้ถูกยิงได้รับก็พบว่าหัวกระสุนแบบ
Full
Metal Jacket นั้นทำให้เกิดบาดแผลที่ฉกรรจ์น้อยกว่า
(พูดให้ดีหน่อยก็คือดูแล้วมีมนุษยธรรมมากกว่า)
ก็เลยมีการออกข้อตกลงห้ามใช้หัวกระสุนที่บานขยายตัว
(expand)
หรือแบนตัว
(flatten)
ได้ง่ายในร่างกายมนุษย์
โดยยกตัวอย่างหัวกระสุนที่ไม่ได้หุ้มเปลือกโลหะแข็งเอาไว้ทั้งหัว
และ/หรือหัวกระสุนที่มีการบากหรือทำร่อง
กติกาเรื่องหัวกระสุนนี้ใช้กับการยิงกันระหว่างทหารกับทหารที่ทำการรบ
ไม่ได้ครอบคลุมการใช้งานกับหน่วยงานภาคพลเรือนเช่นเจ้าหน้าที่ตำรวจนะ
สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศหนึ่งที่ไม่ลงนามรับรองข้อตกลงข้อนี้
แต่ก็บอกว่าจะปฏิบัติตาม
(กันครหา)
ซึ่งหลังจากข้อตกลงดังกล่าวบังคับใช้ก็ยังไม่มีปัญหาใด
ๆ จนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่
๒ เกิดขึ้น
ปัญหาหนึ่งของฝ่ายสัมพันธมิตรที่เกิดขึ้นในสงครามโลกครั้งที่
๒ คือการส่งกำลังบำรุง
โดยเฉพาะอาวุธปืนประจำกายทหาร
เพราะสหรัฐอเมริก อังกฤษ
(และประเทศในเครือจักรภพ)
และฝรั่งเศส
ต่างก็ใช้อาวุธประจำกายแตกต่างกันและใช้กระสุนที่แตกต่างกัน
ดังนั้นหลังจากสงครามสิ้นสุดและมีการจัดตั้งองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือหรือที่เรียกว่านาโต้นั้น
ก็ได้มีความพยายามที่จะให้สมาชิกทุกชาติใช้อาวุธปืนแบบเดียวกันและกระสุนแบบเดียวกัน
จะได้ตัดปัญหาเรื่องการส่งกำลังบำรุง
อเมริกาในฐานะหุ้นส่วนใหญ่คาดหวังว่าตนเองจะเป็นฝ่ายชนะทั้งอาวุธปืนและกระสุนปืน
ซึ่งจะทำให้ประเทศอื่นในยุโรปต้องมาซื้ออาวุธและกระสุนจากอเมริกา
ผลออกมาปรากฏว่าอเมริกาชนะเรื่องชนิดของกระสุน
คือกำหนดให้กระสุนมาตรฐานคือ
7.62
x 51 mm NATO (ถ้าเป็นกระสุนเชิงพาณิชย์จะเรียก
.308
Win ซึ่งคำว่า
Win
ย่อมาจาก
Winchester
ที่เป็นผู้ออกแบบ
ตัวเลข 7.62
มีหน่วยเป็นมิลลิเมตรคือเส้นผ่านศูนย์กลางหัวกระสุน
ส่วน 51
คือความยาวปลอกกระสุนซึ่งมีหน่วยเป็นมิลลิเมตรเช่นกัน)
ซึ่งเป็นกระสุนที่มีอาณุภาพเทียบเท่ากับกระสุน
.30-06
ที่อเมริกาใช้อยู่
แต่ในส่วนของอาวุธประจำกายนั้นปรากฏว่าเบลเยี่ยมเป็นฝ่ายชนะการออกแบบด้วยปืน
FN
FAL
ในขณะที่ประเทศต่าง
ๆ ในยุโรปที่อยู่ในกลุ่มนาโต้ทำการกติกาคือรับเอาปืน
FN
FAL เข้าเป็นอาวุธประจำกาย
อเมริกากลับเป็นเพียงประเทศเดียวที่ไม่ทำตามข้อตกลง
พยายามหันไปพัฒนาอาวุธประจำกายสำหรับทหารตัวเองขึ้นมา
จนในที่สุดก็ออกมาเป็นปืน
M-14
ซึ่งก็ทันให้ทหารสหรัฐถือเข้าสู้รบในสงครามเวียดนามเพื่อไปพบกับคู่ปรับที่ทำให้สหรัฐต้องกลับมาทบทวนแนวความคิดเรื่องอาวุธประจำกายทหารราบใหม่
(จากเดิมที่เคยมีการกล่าวเตือนแล้วแต่ไม่สนใจ)
และทำให้ต้องยุติการผลิตปืน
M-14
หลังจากนำเข้าประจำการได้ไม่นาน
คู่ปรับนั้นคือ AK-47
หรือที่เราเรียกว่าอาก้าที่เป็น
"Assault
rifle" (ปืน
M-14
จัดว่าเป็น
Battle
rilfe)
คู่มือที่อเมริกานำมาต่อกรกับอาก้าคือปืน
M-16
ที่เป็น
Assault
rifle เช่นเดียวกับอาก้า
โดยเปิดตัวมาพร้อมกับกระสุนชนิดใหม่คือ
.223
Remington (บริษัท
Remington
เป็นผู้ออกแบบกระสุนบางทีจะย่อว่า
Rem)
ซึ่งต่อมากระสุนนี้ได้กลายเป็นกระสุนมาตรฐานนาโต้ที่มีชื่อว่า
5.56
x 45 mm NATO (5.56 คือขนาดคาลิเบอร์ส่วน
45
คือความยาวปลอก
ทั้งคู่มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร)
และกระสุนตัวใหม่นี้แหละที่ทำให้เกิดปัญหากับ
Declaration
(IV,3) ของ
Hague
Convention 1899
รูปที่ ๓ ผู้แต่งหนังสือที่ผมนำเอารูปมาประกอบ หนังสือเล่มนี้พิมพ์ที่โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ในปีพ.ศ. ๒๕๑๙ เล่มจริงอยู่ที่ชั้น ๔ หอสมุดกลางของมหาวิทยาลัย
กระสุน
.223
Rem ที่เปิดตัวมากับปืน
M-16
เป็นหัวกระสุนแกนตะกั่วหุ้มทองแดงแบบ
Full
Metal Jacket (FMJ) หนัก
55
เกรน
(ประมาณ
3.5
กรัม)
วิ่งด้วยความเร็วที่ปากลำกล้องสูงถึงสามเท่าเสียง
(ประมาณ
990
เมตรต่อวินาที)
ด้วยลักษณะหัวกระสุนที่เล็ก
และเมื่ออยู่ในระยะที่หัวกระสุนยังมีการแกว่งไปมาอยู่ในระหว่างการเคลื่อนที่นั้น
(ที่เรียกว่า
yaw)
เมื่อหัวกระสุนกระทบกับเป้าหมายที่มีลักษณะอ่อนนุ่นเช่นเนื้อเยื่อคน
หัวกระสุนจะเกิดการพลิกตีลังกา
ทำให้พื้นที่หน้าตัดในทิศทางการเคลื่อนที่สูงขึ้น
การถ่ายทอดพลังงานจึงสูงตามไปด้วย
นอกจากนี้ถ้าหากการพลิกตีลังกานั้นเกิดขึ้นในขณะที่หัวกระสุนยังมีความเร็วสูง
(เช่นจากการยิงในระยะใกล้)
หัวกระสุนจะแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
(ดูตัวอย่างการแตกออกเป็นชิ้นเล็กน้อยของหัวกระสุนได้ใน
Memoir
ฉบับที่
๑๖๒ ที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้)
บาดแผลที่เกิดขึ้นจะฉกรรจ์มาก
รูปที่
๔ และ ๕ เป็นรูปที่ผมนำมาจากตำรา
"นิติเวชศาสตร์"
เขียนเมื่อปีพ.ศ.
๒๕๑๙
โดยนายแพทย์ทรงฉัตร
และนายแพทย์ณรงค์ จากคณะแพทยศาสตร์
ศิริราชพยาบาล (รูปที่
๓)
ที่แสดงให้เห็นลักษณะบาดแผลที่เกิดขึ้นจากการยิงลำตัวในระยะห่างที่แตกต่างกัน
(รูปที่
๔)
ซึ่งเป็นบาดแผลที่เกิดจากการเคลื่อนที่ของหัวกระสุนที่ไม่ได้กระทบกับกระดูกก่อนเคลื่อนที่ลึกเข้าไปในร่างกาย
และบาดแผลที่เกิดจากการยิงกระทบกระโหลกศีรษะ
(รูปที่
๕)
ซึ่งเป็นบาดแผลที่เกิดจากการเคลื่อนที่ของหัวกระสุนกระทบกับกระดูกก่อนที่จะเคลื่อนลึกเข้าไปในร่างกาย
บาดแผลทางเข้าที่เกิดจากการยิงระยะใกล้นั้นจะมีผลของลำแก๊สร้อนความเร็วสูง
(ที่เป็นตัวขับดันให้หัวกระสุนเคลื่อนที่)
รวมอยู่กับบาดแผลที่เกิดจากการเจาะทะลุของหัวกระสุน
บาดแผลในรูปที่
๔ จะเห็นได้ชัดว่าในระยะห่างเพียงแค่
๕ เมตร แม้ว่ารูทางเข้าจะเล็ก
(คือขนาดประมาณเส้นผ่านศูนย์กลางของหัวกระสุนคือประมาณ
๕-๖
มิลลิเมตร)
เพราะไม่ได้รับผลกระทบจากแก๊สร้อนที่พุ่งออกจากปากลำกล้อง
แต่บาดแผลด้านทางออกนั้นจะมีขนาดใหญ่มาก
(ในรูปมีขนาดประมาณ
๑๐ เซนติเมตร)
ส่วนรูปที่
๕ เป็นกรณีของการยิงเข้าศีรษะในระยะประชิดจากทางด้านหน้าไปด้านหลัง
ในกรณีนี้หัวกระสุนจะกระทบเข้ากับกระโหลกศีรษะที่เป็นของแข็งก่อนที่จะเจาะลึกเข้าไปข้างใน
ดังนั้นหัวกระสุนจึงมีโอกาสสูงที่จะแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยก่อนที่จะทะลุลึกเข้าไปข้างใน
ซึ่งแตกต่างจากกรณีของรูปที่
๔
ที่หัวกระสุนมีโอกาสที่จะเจาะลึกเข้าไปในระดับหนึ่งก่อนแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
รูปที่ ๕ บาดแผลที่เกิดจากการทดลองยิงศพในส่วนศีรษะด้วยกระสุนไรเฟิลขนาด .223 (บน) บาดแผลทางเข้า (ล่าง) บาดแผลทางออก
อ่านมาถึงจุดนี้เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับ
Declaration
(IV,3) ของ
Hague
Convention 1899 หรือเปล่าครับ
ในข้อตกลงดังกล่าว "ระบุ"
ถึงกระสุนที่ไม่
"expand"
หรือ
"flatten"
ได้ง่าย
ถ้าแปลเป็นไทยก็คงออกมาเป็น
"สูญเสียรูปร่าง"
แต่ความหมายของ
"สูญเสียรูปร่าง"
ในที่นี้หมายถึงยังคงเป็นชิ้นเดียวกันอยู่
และยังระบุถึงกระสุนที่ไม่ได้หุ้มเปลือกแข็งส่วนแกนเอาไว้ทั้งหมด
(คือไม่มีหุ้มส่วนปลายแหลม)
ในกรณีของกระสุน
.233
Rem นี้
เป็นกระสุนที่มีการหุ้มเปลือกแข็งที่เรียกว่า
Full
Metal Jacket (FMJ) เอาไว้ทั้งหมด
ดังนั้นมันจึงไม่ผิดข้อตกลง
แต่กระสุนกลับมีพฤติกรรมที่
"disintegrate"
หรือ
"แตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย"
ซึ่งก็ไม่มีการกล่าวถึงในข้อตกลง
ดังนั้นถ้ามองตามตัวอักษรก็จะบอกว่าการใช้กระสุนชนิดนี้ไม่ผิดกติกา
แต่ถ้าไปพิจารณาจากวัตถุประสงค์ของการมีข้อตกลงดังกล่าวที่ไม่ต้องการให้เกิดบาดแผลฉกรรจ์ที่รุนแรงเกินไป
กระสุนชนิดนี้ก็น่าที่จะเข้าข่ายผิดกติกา
แต่เอาเข้าจริง ๆ
ใครถูกใครผิดขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นฝ่ายชนะมากกว่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น