กติกาการใช้งบประมาณของหน่วยราชการจะดูแปลก
ๆ สำหรับคนที่ทำงานบริษัททั่วไป
กล่าวคือจะจัดซื้อจัดหาอะไรสักอย่างก็ต้องตั้งงบไว้ล่วงหน้าร่วมปี
ปัญหาที่ตามมาก็คือราคาสินค้านั้นมักจะปรับเปลี่ยนรวดเร็ว
(เน้นไปในทางเพิ่มสูงขึ้น)
จนทำให้การตั้งราคานั้นมักจะต้องตั้งสูงเผื่อเอาไว้ก่อน
ปีงบประมาณของทางราชการนั้นเริ่มในเดือนตุลาคม
อย่างเช่นเดือนตุลาคม ๒๕๕๕
นี้ก็จะถือเป็นการเริ่มปีงบประมาณ
๒๕๕๖ และก่อนจะนำไปใช้ก็ต้องผ่านการเห็นชอบของรัฐสภาเสียก่อน
และก่อนจะนำเรื่องเข้ารัฐสภาก็ต้องมีการชงเรื่องจากหน่วยงานต่าง
ๆ
ผ่านต้นสังกัดและไปฟาดฟันกันต่อที่สำนักงบประมาณว่าใครจะได้งบอะไรบ้าง
เท่าไร นี่จึงเป็นสาเหตุให้ต้องใช้เวลากันร่วมปี
สมมุติว่าหน่วยราชการแห่งหนึ่งต้องการซื้อสินค้า
๒ ชนิด แต่ละชนิดราคา ๑๐๐,๐๐๐
บาท ก็ต้องทำเรื่องขอซื้อล่วงหน้าเอาไว้ร่วมปี
โดยตั้งงบประมาณการจัดซื้อไว้รวม
๒๐๐,๐๐๐
บาท
ทีนี้สมมุติว่าพอถึงเวลาจัดซื้อจริง
สินค้าตัวแรกราคาลดลงเหลือ
๘๐,๐๐๐
บาท ดังนั้นเมื่อจัดซื้อเสร็จก็จะมีเงินงบประมาณเหลือ
๒๐,๐๐๐
บาท แต่สินค้าตัวที่สองราคาปรับขึ้นเป็น
๑๐๐,๑๐๐
บาท ซึ่งสูงกว่างบประมาณ
๑๐๐ บาท
หน่วยราชการหน่วยนั้นก็จะไม่สามารถจัดซื้อสินค้าตัวที่สองนี้ได้
เพราะราคาสูงกว่างบประมาณที่ตั้งเอาไว้
และไม่สามารถเอาเงินที่เหลือจากการซื้อสินค้าตัวแรกมาโป๊ะเพื่อซื้อสินค้าตัวที่สองนี้ได้
ผลก็คือหน่วยราชการดังกล่าวต้องส่งเงินจำนวน
๑๒๐,๐๐๐
บาทคืนสำนักงบประมาณ (๒๐,๐๐๐
บาทที่เหลือจากการซื้อสินค้าตัวแรก
และ ๑๐๐,๐๐๐
บาทที่ทำเรื่องขอซื้อสินค้าตัวที่สองแต่ซื้อไม่ได้เพราะราคาจริงสูงกว่างบที่ขอ)
การที่ซื้อสินค้าในราคาที่ต่ำกว่างบประมาณที่ได้ขอไว้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะถูกมองว่าช่วยทางราชการประหยัดงบประมาณ
แต่มักจะถูกมองว่าชอบของบประมาณสูงเกินจริงไปมาก
ผลที่ตามมาก็คือเวลาของบประมาณใด
ๆ อีกก็มักจะถูกเพ่งเล็งเอาไว้ว่าชอบของบสูงเกินจริง
และควรถูกตัดงบ
ด้วยเหตุนี้ถ้าเมื่อถึงเวลาจัดซื้อจริงแล้วพบว่าราคาของนั้นมันต่ำกว่างบที่ตั้งไว้
ก็มักจะทำการแทรกรายการต่าง
ๆ (เช่นวัสดุสิ้นเปลือง
ชิ้นส่วนซ่อมแซม หรือการประกัน)
เข้าไปในข้อกำหนดครุภัณฑ์ที่ขอจัดซื้อด้วย
เพื่อให้ราคารวมทั้งหมดของสินค้าที่ซื้อใกล้เคียง
(แต่ไม่เกิน)
งบประมาณที่ขอเอาไว้
และเหลือเศษเงินคืนคลังเพียงเล็กน้อย
ดังนั้นในแต่ละปีงบประมาณจะมีเงินเศษเหลือจากการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยราชการต่าง
ๆ ส่งคืนคลัง
เงินจำนวนดังกล่าวในแต่ละปีก็จะมากพอดู
ดังนั้นถ้าหน่วยงานใดมีข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับงบประมาณที่เหลือในแต่ละปี
ก็อาจทำเรื่องขอใช้งบประมาณที่เหลือเหล่านี้ได้
แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องรีบหาทางใช้จ่ายในปีงบประมาณนั้นด้วย
หรือถ้าเป็นงานใหญ่ ๆ
เช่นการก่อสร้างก็ต้องหาเรื่องกันเงินเอาไว้จ่ายข้ามปี
(ขอเงินงบประมาณปีนี้
แต่จะไปใช้ในปีงบประมาณถัดไป)
ตอนที่ผมกลับมาทำงานใหม่
ๆ ผู้ใหญ่ในหน่วยงานก็ได้เล่าให้ฟังถึงที่มาของอาคารใหม่
๒ อาคาร (ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ทำงานของผมทั้งสองอาคาร)
ว่าเงินค่าก่อสร้างก็ได้มาจากเงินงบประมาณที่เหลือในแต่ละปีนี้
ส่วนจริงเท็จเป็นอย่างไรนั้นผมก็ไม่มีข้อมูลยืนยันเหมือนกัน
เพียงแต่ได้ยินคำบอกเล่าของผู้ใหญ่ที่เขามีส่วนในการกำหนดการใช้พื้นที่อาคารที่จะสร้างขึ้นมาใหม่ว่าจะให้หน่วยงานใดเข้าใช้งาน
จุดนี้จึงเป็นที่มาของเรื่อง
"ตรงตามแบบ
(ตอนที่
๓)"
นี้
เนื่องจากกว่าสำนักงบรู้ตัวเลขเงินงบประมาณที่เหลือจากจากหน่วยงานต่าง
ๆ ก็มักจะเข้าใกล้สิ้นปีงบประมาณแล้ว
ดังนั้นถ้าใครได้เงินก้อนนี้ไปใช้ก็ต้องรีบหาทางใช้
ถ้าเป็นการใช้เพื่อการจัดหาซื้อสิ่งของที่มีขายทั่วไปก็คงไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องการกำหนดคุณลักษณะสิ่งของที่ต้องการซื้อเท่าใดนัก
แต่ถ้าเป็นการสร้างอาคารล่ะก็
วุ่นทีเดียว
เพราะต้องมีการกำหนดว่าจะสร้างอาคารดังกล่าวเพื่อกิจกรรมใด
เพราะมันเกี่ยวพันถึงการออกแบบโครงสร้างอาคาร
ทีนี้ปัญหามันเกิดขึ้นเมื่อมันไม่สามารถตกลงกันได้ว่าพื้นที่ส่วนไหนจะใช้ควรจะเอาไปใช้ประโยชน์ด้านใด
ผู้ออกแบบก็เลยต้องออกแบบที่เป็น
"กลาง
ๆ"
เอาไว้ก่อน
สิ่งที่ได้มาคืออาคารแรกเป็นอาคารสูง
๒๐ ชั้น
แต่เนื่องจากตอนที่ต้องออกแบบนั้นไม่สามารถบอกได้ว่าชั้นไหนจะใช้ทำอะไร
ผลที่ออกมาก็คือกลายเป็นอาคารที่ความสูงจากพื้นถึงเพดานของแต่ละชั้น
(ที่ไม่ใช่ห้องประชุมใหญ่)
สูงถึง
๔.๘๐
เมตร
คือเผื่อเอาไว้ว่าจะมีคนเอาอุปกรณ์ทำแลปไปตั้งบนตึกนั้นด้วย
มีการกำหนดให้เอาแลปเคมีพื้นฐานไปตั้งบนชั้น
๑๒ แต่อาคารดังกล่าวไม่ได้ออกแบบให้มีระบบท่อน้ำทิ้ง
ระบบท่อน้ำดี
และระบบสำหรับเดินท่อระบายอากาศของตู้ควัน
แล้วมันจะตั้งแลปได้อย่างไร
ผลสุดท้ายก็ใช้ตึกทั้งตึกในรูปแบบอาคารสำนักงาน
แต่ละชั้นต้องไปตีฝ้าให้ต่ำลงมาอีกราว
ๆ ๒ เมตร วิศวกรอาวุโสท่านหนึ่งบอกผมว่า
ถ้าหากกำหนดตั้งแต่การออกแบบแล้วว่าจะให้ใช้อาคารในรูปแบบอาคารสำนักงานทั้งตึก
ด้วยวงเงินค่าก่อสร้างเท่ากันและได้ตึกสูงเท่ากันนี้
จะได้พื้นที่ใช้สอยมากขึ้นอีก
อีกตึกหนึ่งเป็นตึกที่ออกแบบมาเพื่อเป็นห้องปฏิบัติการทั้งตึก
แต่ก็ออกมาแปลก ๆ คือชั้น
๕ มีการเดินระบบท่อน้ำทิ้งเอาไว้ให้
แต่ไม่มีการเดินระบบท่อน้ำดีให้
ส่วนชั้น ๔ มีการเดินระบบท่อน้ำดีให้
แต่ไม่มีการเดินระบบท่อน้ำทิ้งให้
ชั้นที่ไม่มีระบบท่อน้ำดีแก้ปัญหาได้ไม่ยากเท่าใดนัก
เพราะระบบน้ำดี (น้ำประปานั่นแหละ)
มันมีแรงดัน
สามารถเดินไต่ขึ้นผนังหรือเพดานไปยังส่วนต่าง
ๆ ของชั้นอาคารได้
แต่ชั้นที่ไม่มีระบบท่อน้ำทิ้งจะแก้ปัญหายากกว่า
เพราะการไหลของน้ำทิ้งต้องอาศัยแรงดึงดูดของโลก
ดังนั้นมันต้องอยู่ที่พื้นเท่านั้น
และมักจะต้องทำการเจาะพื้นเพื่อเดินท่อน้ำทิ้งใต้พื้น
ซึ่งการทำดังกล่าวจะไปก่อปัญหาให้กับชั้นที่อยู่ข้างล่าง
เพราะเขาอาจไม่ยอมให้ทำเพราะมันจะไปรกฝ้าเพดานชั้นล่าง
และอ้างว่าจะก่อให้เกิดปัญหาการรั่วไหลตามมาด้วย
อาคารปฏิบัติการนี้มีบันไดหนีไฟอยู่ทางด้านนอกอาคารสองด้านด้วยกัน
การมีบันไดหนีไฟอยู่ทางด้านนอกอาคารเนี่ยถ้าเป็นอาคารสูงเขาจะไม่นิยมทำกันเพราะมันจะทำให้อาคารดูไม่สวย
ดังนั้นถ้าเป็นอาคารสูงก็มักจะสร้างบันไดหนีไฟเอาไว้ในอาคาร
แต่บันไดหนีไฟที่อยู่ในอาคารจะเกิดปัญหาเรื่องควันไฟทำให้ไม่สามารถใช้เป็นทางหนีไฟได้
ดังนั้นถ้าเป็นบันไดหนีไฟที่อยู่ในอาคารแล้วจะต้องมีการปิดประตูทางหนีไฟให้สนิท
และต้องมีระบบอัดอากาศเข้าไปในช่องทางหนีไฟเพื่อป้องกันไม่ให้ควันไฟรั่วเข้าไปข้างใน
แต่ถ้าบันไดหนีไฟอยู่นอกอาคารแล้ว
ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องควันไฟนี้
แต่จะไปมีปัญหาเรื่องน้ำฝนแทน
เพราะมันจะโดนฝนสาดยามเมื่อฝนตก
เนื่องจากบันไดหนีไฟนั้นเป็นทางฉุกเฉินที่ไม่ต้องการให้ใครใช้เป็นทางขึ้นลง
ยกเว้นแต่ใช้เป็นทางลงในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น
ดังนั้นการสร้างบันไดหนีไฟจึงไม่จำเป็นต้องสร้างจนถึงพื้นล่างสุด
โดยอาจสร้างลงมาถึงระดับชั้นสองหรือชั้นก่อนชั้นล่างสุดก็พอ
ซึ่งเป็นระดับที่จะสามารถปีนหรือกระโดดลงไปได้
หรือไม่ก็มีการวางบันไดเอาไว้สำหรับให้พาดลงไปยามฉุกเฉิน
ชั้นล่างสุดของบันไดหนีไฟด้านหนึ่งของอาคารปฏิบัติการนี้ลงไปไม่ถึงชั้นล่างสุด
(กันคนแอบใช้เป็นทางขึ้นลง)
รั้วกันขอบเป็นกำแพงคอนกรีตทึบพร้อมกับเจาะรูระบายน้ำเล็ก
ๆ เอาไว้
บันไดหนีไฟของอาคารปฏิบัติการหลังนี้มีปัญหาเรื่องการระบายน้ำฝน
(ไม่รู้เหมือนกันว่าผ่านการตรวจรับมาได้อย่างไร)
กล่าวคือรูระบายน้ำฝนที่อยู่ที่ผนังตามชั้นพักต่าง
ๆ ของบันไดนั้นอยู่ "สูงกว่า"
ระดับพื้น
(ดูรูปที่
๑)
ดังนั้นเมื่อฝนตกลงมา
น้ำฝนจะไม่สามารถระบายออกทางรูดังกล่าวได้
แต่จะไหลรวม ๆ กันลงมาตามขั้นบันได
(เวลาฝนตกหนักจะเหมือนกับเป็นสายน้ำตกหลายชั้นเลย)
ยิ่งชั้นที่อยู่ต่ำลงไปก็จะได้กระแสน้ำที่ไหลแรงขึ้นเรื่อย
ๆ
รูปที่
๑ ตำแหน่งรูระบายน้ำที่อยู่ที่ผนังทางเดินของชั้นพักแต่ละชั้น
จะเห็นว่าอยู่สูงกว่าระดับพื้น
ทำให้น้ำฝนระบายไม่ได้
ทีนี้พอเจอฝนตกหนักเป็นชั่วโมง
น้ำฝนที่สาดเข้ามาทางบันไดหนีไฟชั้นบนไม่สามารถระบายออกได้
ก็ไหลลงตามขั้นบันไดสะสมรวมกันเรื่อย
ๆ และมาสะสมอยู่ที่ชั้นล่างสุดกลายเป็นแอ่งน้ำชั่วคราวขนาดใหญ่
คราวใดที่ฝนตกหนักมาก ๆ
ก็ถึงขึ้นล้นออกทางราวกั้นได้
หลักฐานที่เห็นก็คือคราบสกปรกที่เกิดจากระดับน้ำท่วมขัง
(ดูรูปที่
๒)
รูปที่
๒ บันไดหนีไฟชั้นล่างสุด
น้ำฝนที่ไหลลงมาตามบันไดหนีไฟจากชั้นต่าง
ๆ จะไหลมารวมกันที่นี้
รวมทั้งขยะด้วย
แต่เนื่องจากรูระบายน้ำมีขนาดเล็ก
(รูในรูปนี้ไม่ใช่รูขนาดเดิมที่มากับอาคาร
ซึ่งเล็กกว่านี้อีก -
รูปที่
๑)
ทำให้น้ำฝนเกิดการสะสม
จากคราบที่ปรากฏอยู่บนผนังจะเห็นว่าน้ำฝนนั้นสะสมจนถึงระดับขอบราวทางเดิน
(ตรงลูกศรสีแดงชี้)
อันที่จริงปัญหานี้มันก็มองเห็นได้โดยที่ไม่ต้องรอให้มีฝนตกหนักก่อน
แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะเหตุใด
ก็คงต้องฝากให้ไปคาดเดากันเอาเองก็แล้วกัน