บทความนี้เขียนขึ้นตามความเข้าใจของตนเอง
จากที่เรียนรู้มาจากการทำงานโดยผู้ใหญ่ท่านต่าง
ๆ เล่าให้ฟังและจากการที่ได้ไปร่วมอบรมอยู่บ้าง
ขอให้ผู้อ่านพึงใช้วิจารณญานของท่านเองในการอ่านด้วย
คดีฆ่าหั่นศพที่เกิดที่จุฬาเมื่อหลายปีที่แล้ว
"อัยการ"
สั่ง
"ไม่ฟ้อง"
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า
"ไม่มีสิทธิฟ้อง"
ในคดีนั้นทาง
ญาติผู้เสียชีวิต และเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ส่งฟ้องศาลเอง
สุดท้ายศาลฎีกาตัดสินให้จำเลยมีความผิด
เรามีสิทธิในฐานะผู้เสียหายที่จะฟ้องร้องต่อศาลโดยตรง
สิทธิดังกล่าวมีไว้เผื่อในกรณีที่เจ้าพนักงานของรัฐละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
หรือมีความเห็นต่าง
หรือในกรณีที่เรารู้สึกว่าเราไม่ได้รับความเป็นธรรมจากฝ่ายบริหาร
(ทั้งตำรวจและอัยการต่างอยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายบริหาร)
การตีความตามกฎหมายว่าทำอย่างไรถูกหรืออย่างไรผิดนั้นเป็นหน้าที่ของศาล
"กฤษฎีกา"
เป็นเพียง
"ผู้ให้ความเห็นทางกฎหมาย"
แก่หน่วยงานของรัฐ
(หรือเรียกว่าทนายความของรัฐ"
ก็ได้)
เวลาที่รัฐจะตัดสินใจอะไรแล้วไม่แน่ใจว่าจะทำได้ตามกฎหมายหรือไม่ก็สามารถที่จะถามไปยังกฤษฎีกาก่อนที่จะลงมือทำ
ถ้ากฤษฎีกาบอกว่าทำได้
นั่นไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่รัฐจะทำไปนั้นเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย
แต่เป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย
"ตามความเข้าใจของกฤษฎีกา"
ตัวอย่างเช่นเจ้าหน้าที่รัฐต้องการบอกเลิกจ้างงานเอกชนรายหนึ่งกลางคันโดยไม่จ่ายค่าทดแทน
แต่ไม่แน่ใจว่าจะเป็นการเลิกจ้างที่เป็นไปตามสัญญาหรือไม่
ก็สามารถขอความเห็นไปยังกฤษฎีกาได้
ถ้ากฤษฎีกาบอกว่าสามารถทำได้
เจ้าหน้าที่รัฐก็จะบอกเลิกจ้างงานเอกชนรายนั้น
แต่ถ้าเอกชนรายนั้นเห็นว่าการบอกเลิกจ้างดังกล่าวเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง
ก็ยัง "สามารถฟ้องร้องเจ้าหน้าที่รัฐนั้นได้"
เพื่อขอความเป็นธรรมจากศาล
ถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนี้รัฐก็จะต้องส่งกฤษฎีกามาทำหน้าที่เป็นทนายแก้ต่างให้กับเจ้าหน้าที่รัฐนั้น
ถ้าศาลตัดสินว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐนั้นไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
หน่วยงานนั้นของรัฐนั้นก็ต้องจ่ายเงินชดเชยให้กับเอกชนรายนั้น
(กฤษฎีกาไม่ได้เป็นคนจ่ายเงินค่าเสียหาย)
แต่ตรงนี้ตัวหน่วยงานของเจ้าหน้าที่รัฐนั้น
"ไม่ควร"
จะไปเอาผิดเจ้าหน้าที่รัฐผู้นั้น
เพราะเป็นการทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ทำในนามของหน่วยงานนั้น
และการกระทำดังกล่าวก็ได้รับความเห็นชอบจากที่ปรึกษาทางด้านกฎหมายของรัฐแล้วด้วย
แต่ถ้าเจ้าหน้าที่รัฐผู้นั้น
"ไม่ได้"
ปรึกษากฤษฎีกาก่อนลงมือบอกเลิก
เมื่อโดนเอกชนฟ้องร้องก็คงต้องไปหาทนายมาแก้ต่างเอง
และถ้าแพ้คดีขึ้นมาก็มีสิทธิต้องชดใช้ค่าเสียหายเอง
เผลอ ๆ จะโดนเล่นงานทางวินัยข้อหาทำงานบกพร่องต่อหน้าที่ด้วย
(ตัดสินใจโดยพละการโดยไม่ปรึกษา
ซึ่งส่งผลทำให้รัฐเสียหาย)
ศาลไม่ได้เป็นคนเขียนกฎหมาย
ไม่ได้เป็นคนออกกฎหมาย
รัฐสภาต่างหากเป็นคนทำ
ศาลทำหน้าที่พิจารณาตามเนื้อความในข้อกฎหมาย
(ที่คนอื่นเป็นคนเขียน)
เพื่อที่จะตัดสินว่าสิ่งใดถูกต้องตามกฎหมาย
เห็นผู้ที่เรียกตนเองว่านักวิชาการทางด้านกฎหมายและรัฐศาสตร์หลายรายออกมาบอกว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งคือรัฐบาลประชาธิปไตย
ถ้าว่ากันตามนิยามนี้แสดงว่าพวกเขาเห็นว่า
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เป็น
"นักประชาธิปไตย"
ด้วย
ฮิตเลอร์ลงสมัครรับเลือกตั้งหลายครั้ง
จนในที่สุดฮิตเลอร์ก็ได้ครองเสียงข้างมากในรัฐสภา
จากนั้นจึงใช้อำนาจในรัฐสภา
"โดยอาศัยเสียงข้างมากในรัฐสภา"
ในการออกกฎหมายกำจัดคู่แข่งทางการเมือง
และออกกฎหมายมอบอำนาจทุกอย่างให้อยู่ในมือของฮิตเลอร์
กฎหมายต่าง
ๆ นั้นเป็นกฎหมายที่ออกโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจาก
"การเลือกตั้ง"
และได้รับคะแนนเสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภา
แต่ฮิตเลอร์กลับถูกตราหน้าว่าเป็น
"เผด็จการ"
ทั้ง
ๆ
ที่กระบวนการได้อำนาจทุกอย่างของเขานั้นได้มาจากรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย
นั่นแสดงว่ารัฐบาลไหนเป็นเผด็จการหรือไม่นั้นไม่ได้อยู่ตรงที่ต้องมาจากการปฏิวัติ
รัฐบาลที่เข้ามาโดยการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยก็สามารถผันตัวเองให้กลายเป็นรัฐบาลเผด็จการได้ง่าย
ๆ
รัฐบาลที่เป็นเผด็จการคือรัฐบาลที่ใช้ทั้งอำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหาร
(สองอำนาจนี้มันแยกจากกันไม่ได้
เพราะผู้ถือเสียงข้างมากในรัฐสภาก็เป็นผู้ที่ถืออำนาจบริหารด้วย)
ในการ
หาประโยชน์ให้กับตนเองและพวกพ้อง
จัดการกับคู่แข่งทางการเมืองหรือผู้ที่คิดเห็นต่าง
ปิดกั้นการรับรู้ของประชาชน
บิดเบือนข้อเท็จจริง
ไม่ยินยอมให้มีและ/หรือทำลายระบบการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ
ทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย
และพยายามเข้าไปมีอำนาจเหนือฝ่ายตุลาการ
(เขามีอำนาจอยู่เหนือตำรวจและอัยการอยู่แล้ว)
ขอแนะนำให้ไปอ่านประวัติศาสตร์ประเทศเยอรมันช่วงก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่
๒ ดูว่าฮิตเลอร์เข้ามามีอำนาจได้อย่างไร
และผลสุดท้ายประเทศชาติลงเอยอย่างไร