วันพุธที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2556

อย่าไว้ใจเบรคมือ MO Memoir : Wednesday 23 October 2556

ย่างเข้าสู่หน้าหนาว หลายต่อหลายคนก็คงจะวางแผนไปเที่ยวตามยอดเขาต่าง ๆ เพื่อไปสัมผัสกับอากาศหนาวและม่านหมอก ผมเองถ้ามีโอกาสก็ชอบขับรถตะลอน ๆ ไปตามเส้นทางต่าง ๆ และแวะถ่ายรูปภูมิประเทศตามทางไปเรื่อย ๆ และได้สังเกตเห็นพฤติกรรมการจอดรถบนทางที่เป็นทางลาดอันหนึ่งที่หายไปของคนในยุคหลัง ๆ นั่นคือ "การหักล้อให้เลี้ยว"
 
 
แม้ว่าการจอดโดยเข้าเกียร์ทิ้งไว้หรือดึงเบรคมือนั้นก็สามารถป้องกันไม่ให้รถไหลได้ แต่รถก็ยังมีโอกาสไหลอยู่ตอนที่ต้องออกตัว ในกรณีที่มีขอบทางเท้านั้นก็สามารถใช้วิธีการหักล้อให้ล้อหน้ายันเข้ากับขอบทางเท้าดังรูปที่ถ่ายมาให้ดู ปรกติถ้าเป็นรถใหญ่ เวลาจอดบนทางลาด (เช่นทางขึ้นเนิน) จะเห็นมีการนำไม้มาหนุนล้อเอาไว้เป็นประจำ ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้รถไหล ไอ้เจ้าไม้หนุนล้อรถนี้ยังเห็นรถบรรทุกใช้งานเวลาที่ขึ้นเนินลาดชันเป็นระยะทางยาวที่รถไม่สามารถไต่ขึ้นไปทีเดียวพ้นเนิน เวลารถไต่ไปได้สักพักรถจะหมดแรงวิ่งขึ้นเนิน คนขับต้องมีผู้ช่วยคอยเอาไม้หนุนล้อเอาไว้ไม่ให้รถไหลกลับ แล้วค่อยเร่งเครื่องขึ้นไปใหม่ ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงยอดเนิน
 
แต่ถ้ามีปัญหามาก ๆ ก็อาจต้องใช้การถอยหลังขึ้น เพราะเกียร์ถอยหลังมันทดรอบมากกว่าเกียร์หนึ่งอีก (ผมเห็นอัตราทดรอบเกียร์ของรถยนต์เกียร์ธรรมดามันเป็นเช่นนี้ แต่ของเกียร์ออโต้มันไม่ใช่)
เวลาที่ผมแวะจอดรถถ่ายรูปตามเส้นทางที่เป็นทางบนเขา อย่างแรกคือต้องหาที่ปลอดภัยในการจอด ไม่ใช่รถคันอื่นโผล่ออกมาจากโค้งก็เจอเราพอดี ประเภทหลบไม่ทัน พอได้ที่จอดแล้วก็ต้องดูด้วยว่าถ้ารถเกิดการไหล ไหลไปทางไหนจะปลอดภัยที่สุด ก็ให้หักพวงมาลัยเพื่อให้รถ (ถ้าหากเกิดเรื่อง) ไหลไปในทิศทางนั้น ปรกติก็จะไม่หักพวงมาลัยให้รถไหลลงเหว แต่จะให้ไหลไปในทิศทางที่มีอะไรที่แข็งแรงพอที่จะหยุดการไหลของรถเอาไว้ได้

คนจำนวนไม่น้อยที่ขับรถยนต์ พอต้องขับตามหลังรถบรรทุกใหญ่ที่ขึ้นเขามักจะรู้สึดหงุดหงิด เพราะรถเหล่านี้จะแล่นช้าและบังทัศนวิสัยข้างหน้าเอาไว้ ทำให้แซงได้ยาก และโดยปรกติเส้นทางบนเขาก็มักจะไม่มีที่ให้แซงอยู่แล้ว แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมาพบว่าผู้ขับขี่รถบรรทุกเหล่านี้มักจะมีมารยาทดี คือถ้าเราขับตามหลังเขาไปเรื่อย ๆ โดยที่เขารู้ว่าเราอยู่ข้างหลังเขา (อย่าไปพยายามแซงรถเขาในที่คับขันหรือในที่ไม่ปลอดภัย) พอเขาเห็นว่าข้างหน้านั้นปลอดภัยให้เราแซงได้เขาจะให้สัญญาณแก่เราเอง สัญญาณที่เขาให้ก็คือไฟเลี้ยว ถ้าเขาเปิดไฟเลี้ยวซ้ายให้เราเห็นก็แสดงว่าข้างหน้านั้นปลอดภัย ให้เราแซงขึ้นไปได้ แต่ถ้าเขาไม่ให้สัญญาณหรือเปิดไฟเลี้ยวขวาก็อย่างแซงขึ้นไป แสดงว่าเขาเห็นว่ามีรถสวนมาหรือทางข้างหน้านั้นเป็นทางโค้งที่บดบังทัศนวิสัยเอาไว้ ไม่รู้ว่าจะมีรถวิ่งสวนมาหรือเปล่า
 
แต่จะว่าไปแล้วผมว่าขับรถขึ้นเขาไม่ยากหรอก ถ้ามันไม่มีแรงขึ้นเขามันก็หยุดวิ่งของมันเอง ขับรถลงเขาอันตรายกว่าอีก เพราะถ้าคิดหวังจะพึ่งแต่เบรค ก็มีสิทธิเบรคไหม้เอาได้ง่าย ๆ ต้องอาศัยระบบเกียร์ช่วย แม้ว่าจะขับเกียร์ออโต้ก็ตาม
 
รูปสุดท้ายเป็นประสบการณ์ของตนเองเมื่อตอนเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ระหว่างขับบนทางหลวงสาย 1090 จาก อ.อุ้มผาง กลับมาอ. พบพระ ที่จังหวัดตากหลังฝนตกและลมกรรโชกแรง ปรากฎว่ามีต้นไม้ล้มพาดสายไฟฟ้าทำให้เสาไฟฟ้าล้มลงขวางถนน เส้นทางที่พอจะขับผ่านได้ก็มีแค่ตรงลูกศรสีส้มชี้ (ข้างซ้ายเป็นร่องระบายน้ำ) ตรงนี้โชคดีที่สายไฟแรงสูงที่ลงมาพาดพื้นถนนนั้นเป็นแบบมีฉนวนหุ้ม แต่ยังไงก็ไม่ควรเดินเข้าไปใกล้สายไฟเหล่านั้น รายการนี้เรียกว่าล้อซ้ายไต่ขอบไม่เต็มล้อ ส่วนล้อขวาก็เกือบเบียดหัวเสาไฟฟ้าจึงรอดไปได้ ไม่เช่นนั้นก็คงต้องรอบนเขาอีกหลายชั่วโมงแน่

ไม่มีความคิดเห็น: