บ่ายวันนี้เห็นมีโทรศัพท์มาจากทางห้องธุรการ
ก็เลยแวะไป พอไปถึงก็โดนถามว่า
"ส่งแล้วยัง"
ทำเอางงไปเหมือนกันว่าเรื่องอะไร
จะให้ส่งอะไร
เรื่องทั้งเรื่องคือเขาส่งเอกสารให้ผมทางอีเมล์
ตามรูปข้างล่าง
ลองอ่านดูเอาเองก่อนก็แล้วกัน
เดือนกุมภาพันธ์ปีนี้
วันศุกร์ที่ ๑๔ เราหยุดมาฆบูชา
ต่อด้วยเสาร์ ๑๕ และอาทิตย์
๑๖ ก็เรียกว่าเป็นสัปดาห์ที่หยุดยาว
อีเมล์ฉบับนี้ส่งมาหลังเลิกงานไปแล้วชั่วโมงเศษ
(เวลาเลิกงานคือ
๑๖.๐๐
น)
และคาดหวังจะให้ส่งกลับในวันเสาร์
ที่ทำให้ผมเสียความรู้สึกก็คือ
เดี๋ยวนี้เราไม่พูดคุยกันแล้วเหรอ
มีอะไรก็ส่งให้ทางอีเมล์
แล้วคาดว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะต้องมาคอยเฝ้าหน้าจอคอมพิวเตอร์เปิดดูอีเมล์ตลอดเวลาหรือไง
ทั้ง ๆ ที่ผมก็เคยบอกกับทางเจ้าหน้าที่เอาไว้แล้วว่า
ถ้ามีเรื่องจำเป็นเร่งด่วนก็ให้โทรหาได้เลย
หรือไม่ก็ส่งข้อความให้ทางโทรศัพท์ว่ามีเรื่องด่วน
(แต่ทั้งนี้หน่วยงานต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายนะ)
ไม่นานมานี้มีนิสิตจะเข้ามาทำแลป
ผมก็ถามกลับไปว่านัดรุ่นพี่ป.โทเขาไว้หรือเปล่า
เขาตอบผมกลับมาว่า line
ไปหาแล้ว
ผมก็ถามกลับไปว่าแล้วรุ่นพี่เขาตอบกลับมาหรือเปล่า
เขาก็ตอบกลับมาว่ารุ่นพี่ยังไม่ตอบกลับมา
ผมก็เลยเล่าให้เขาฟังว่ารู้ไหมการ์ดเชิญงานแต่งงานยังต้องเขียนเลยว่า
"ขออภัย
หากไม่ได้เรียนเชิญด้วยตนเอง"
แล้วทำไมคุณถึงไม่โทรไปถามเขาล่ะ
หรือว่ากลัวเสียค่าโทร
ในเรื่องสำคัญหลาย ๆ เรื่อง
การติดต่อด้วยวาจานั้นแสดงถึงการให้เกียรติและความสำคัญของอีกฝ่ายหนึ่ง
ขนาดผู้นำประเทศมหาอำนาจ
เวลาจะให้ความสำคัญกับใคร
ก็จะใช้การโทรศัพท์ถึงอีกฝ่ายหนึ่ง
เรื่องนี้มักปรากฏเป็นข่าวเสมอ
ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนพฤศจิกายนผมก็โดนมาทีนึงแล้ว
มีสอนตอนเที่ยง
แต่ปรากฏว่าอาจารย์ที่สอนอีกห้องหนึ่ง
(วิชาเดียวกัน
มีสอนกัน ๕ ห้อง)
เขาไม่มาสอน
อ้างว่ามีการชุมนุมทำให้เดินทางลำบาก
เห็นควรให้งดสอนวิชานี้ทุกห้อง
เขาส่งอีเมล์ติดต่อมาราว
ๆ เก้าโมงเช้า
มีอาจารย์ที่ไม่ได้สอนหนังสือตอนเช้าเห็นอีเมล์เพียงไม่กี่คน
เขาก็รับลูก ให้เจ้าหน้าที่ประกาศทางหน้า
facebook
ส่วนตัว
(ที่มีเฉพาะนิสิตเป็นสมาชิกและก็ไม่ทุกคนที่เข้าร่วม)
ทางผมพอเสร็จงานช่วงเช้าก็ไปสอนต่อตามเวลา
ปรากฏว่านักเรียนหายหมด
มาทราบเอาทีหลังว่ามีการประกาศงดเรียนทาง
facebook
โดยเจ้าหน้าที่ว่างดสอนทุกห้อง
ทั้ง ๆ
ที่ถูกต้องควรต้องงดสอนเฉพาะห้องที่อาจารย์ไม่มาสอนเท่านั้น
การให้เกียรติหรือให้ความสำคัญกับผู้ที่เราต้องติดต่อด้วยมันส่งผลทางจิตวิทยาในการทำงานร่วมกัน
มีภาควิชาแห่งหนึ่ง
ห้องทำงานหัวหน้าภาควิชาก็เป็นห้องส่วนตัวตั้งอยู่ในส่วนธุรการ
อาจารย์คนหนึ่งพอขึ้นมาเป็นหัวหน้าภาควิชา
เวลาต้องการพบเจ้าหน้าที่ธุรการที่นั่งทำงานอยู่หน้าห้อง
ก็จะใช้การตะโกนเรียกชื่อเจ้าหน้าที่ที่ต้องการพบออกมาจากในห้อง
โดยไม่สนใจว่าเจ้าหน้าที่คนนั้นกำลังติดต่องานหรือคุยงานกับใครอยู่
ถ้าเขาไม่ไปหาสักทีก็จะตะโกนเรียกอยู่นั่นแหละ
หรือไม่อีกทีก็ใช้การโทรศัพท์เรียกให้ไปพบ
ส่วนอาจารย์อีกรายหนึ่งตอนที่เป็นหัวหน้าภาควิชา
จะใช้การเดินออกมาจากห้อง
เรียกด้วยน้ำเสียงที่สุภาพ
แล้วเชิญเจ้าหน้าที่ที่ต้องการพบเข้าไปคุยเรื่องงานในห้อง
อาจารย์สองรายนี้แม้ว่าจะเกษียณแล้ว
แต่หลังเกษียณก็ยังทำงานเป็นอาจารย์พิเศษอยู่
ไม่มีอำนาจในการสั่งการใดหรือให้คุณให้โทษกับใครแล้ว
แต่กับเจ้าหน้าที่ธุรการแล้ว
อาจารย์รายหลังกลับยังได้รับความเคารพนับถือจากเจ้าหน้าที่ธุรการอยู่
ยังมาพูดคุยเล่นกันได้เสมอ
ในขณะที่รายแรกนั้นไม่กล้าแม้แต่จะโผล่หน้าไปติดต่อธุระด้วย
ตัวผมเองก็เคยประสบมาครั้งหนึ่ง
อาคารจอดรถที่ผมจอดประจำนั้นต้องรับบัตรก่อนขึ้นอาคาร
เช้าวันหนึ่งเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ส่งบัตรให้ผมก็บอกกับผมว่าต้องขอขอบคุณผมมากเลย
เพราะเวลาผมรับบัตรทีไร
ผมจะลดกระจกหน้าต่างลงจนสุดเพื่อยื่นแขนออกไปรับบัตร
และกล่าวขอบคุณเขาแค่นั้น
แต่สำหรับผู้ที่ทำหน้าที่ส่งบัตรให้แล้ว
เขากลับรู้สึกว่าเราให้เกียรติในการทำหน้าที่ของเขา
เราไม่รังเกียจเขา
ดังเช่นรถหลายต่อรายคันที่ทำเพียงแค่ลดกระจกลงมาเล็กน้อย
แล้วให้เจ้าหน้าที่สอดบัตรเข้าไปเพื่อเขาจะได้ไม่ต้องยื่นมือออกมานอกรถ
แม้แต่ตอนคืนบัตรหรือจ่ายเงินก็ทำพฤติกรรมเช่นนี้อีก
ไม่รู้ว่าต่อไปเวลาไฟไหม้บ้าน
โจรปล้นบ้าน
ต้องใช้ส่งอีเมล์แจ้งตำรวจแทนการโทรไปแจ้งหรือเปล่า
ใครเจ็บป่วยหรือได้รับบาดเจ็บต้องการรถพยาบาลฉุกเฉิน
ก็ต้องใช้ส่งอีเมล์แจ้งหน่วยบรรเทาสาธารณภัยด้วยหรือเปล่า
ต่อไปก็คงไม่ต้องมีการประชุมพูดคุยอะไรกันอีกแล้ว
นัดเวลานั่งกดเล่น line
กันพร้อมหน้าพร้อมตาเลยก็สิ้นเรื่อง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น