ความอยากของคนนั้นมันไม่มีที่สิ้นสุด
ดังนั้นถ้าไม่มีศีลธรรมเข้ามาเป็นตัวควบคุมให้รู้จักพอ
สังคมก็คงจะอยู่ไม่ได้
นักการเมืองต่างทราบเรื่องนี้ดี
และใช้เรื่องเหล่านี้ในการหาความนิยมให้กับตนเอง
ด้วยการสัญญาว่าจะให้นั่นให้โน่นแก่ประชาชน
ให้มีใช้ในราคาถูกหรือไม่มีขีดจำกัด
ซึ่งนโยบายเหล่ามันก็ช่วยให้เขาขึ้นสู่ตำแหน่งที่ต้องการได้
อยู่ในตำแหน่งที่ต้องการได้
แต่สุดท้ายประชาชนก็จะเป็นผู้แบกรับความเดือดร้อนซะเอง
และสิ่งหนึ่งที่เห็นมีนักการเมืองบางกลุ่มนำมาใช้หาคะแนนนิยมในปัจจุบันก็คือ
"น้ำมันราคาถูก"
อันที่จริงเรื่องการตั้งราคาสินค้านี้ผมเคยเขียนเอาไว้แล้วเหมือนกันคือใน
Memoir
ปีที่
๕ ฉบับที่ ๕๘๐ วันพฤหัสบดีที่
๒๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.
๒๕๕๖
เรื่อง "ผู้ส่งออกผู้ผลิต และผู้มีวัตถุดิบ(คิดสักนิดก่อนกดShareเรื่องที่๒)"
ปีที่
๖ ฉบับที่ ๗๕๐ วันศุกร์ที่
๑๗ มกราคม พ.ศ.
๒๕๕๗
เรื่อง
"เมื่อประเทศผู้ส่งออกกินน้ำตาลราคาแพงกว่าราคาตลาดโลก"
ปีที่
๖ ฉบับที่ ๗๕๐ วันศุกร์ที่
๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ.
๒๕๕๗
เรื่อง "ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในอาเซียน"
รูปที่
๑ ป้ายนี้ติดอยู่ที่ถนนพญาไทหน้าคณะเภสัชศาสตร์
ผมถ่ายเอาไว้เมื่อวันพฤหัสบดีที่
๒๐ กุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี้เอง
รูปที่
๒ ประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
เรื่องราคาอ้างอิงเอทานอลแปลงสภาพและไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมัน
จาก http://www.eppo.go.th/petro/kbg/pt-KBG2557-013.pdf
รูปที่
๑
ที่เอามาให้ดูนั้นเป็นข้อกล่าวหาของนักการเมืองผู้หนึ่งต่อการตั้งราคาน้ำมัน
ผมเห็นมันตั้งเป็นบอร์ดอยู่บนถนนพญาไท
แถวหน้าคณะเภสัชศาสตร์
ก็เลยถ่ายรูปเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึก
ส่วนรูปที่
๒
นั้นเป็นข้อมูลที่ใกล้เคียงกับเวลาปัจจุบันมากที่สุดเท่าที่ผมหาได้ทางอินเทอร์เน็ต
เป็นประกาศของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
เรื่องราคาอ้างอิงเอทานอลแปลงสภาพและไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมัน
สังเกตเห็นอะไรไหมครับ
ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหน้าสถานีบริการในกรุงเทพมหานครในวันนี้อยู่ที่
๒๙.๙๙
บาทต่อลิตร
แต่น้ำมันดีเซลที่ขายกันอยู่นั้นไม่ใช่น้ำมันปิโตรเลียม
100%
แต่มีการผสมไบโอดีเซลที่เป็นเมทิลเอสเทอร์ของกรดไขมันเข้าไปด้วย
5%
หรือที่เราเรียกว่าน้ำมันดีเซล
B5
แต่ต้นทุนไอโอดีเซลที่นำมาผสมนั้นอยู่ที่
๓๖.๖๗
บาทต่อลิตร ซึ่งแพงกว่าราคาขายปลีกเสียอีก
ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงหน้าสถานีบริการน้ำมัน
เป็นผลรวมของราคาขายปลีกหน้าโรงกลั่นกับสารพัดภาษีที่บวกเข้าไปและค่าการตลาด
ซึ่งตรงนี้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเป็นผู้กำหนด
โดยต้องนำเอาราคาอ้างอิงเอทานอลแปลงสภาพและไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันมาคิดด้วย
ตัวเลขที่ใกล้เวลาปัจจุบันมากที่สุดที่ผมค้นได้ทางอินเทอร์เน็ตคือของวันที่
๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๖
(แต่ราคาปัจจุบันก็ไม่ได้ต่างจากเวลานั้นมาก)
ซี่งได้นำมาแสดงให้ดูในรูปที่
๓ ข้างล่าง ยังไงก็ลองพิจารณาดูเอาเองก่อนก็แล้วกัน
รูปที่
๓ โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในเขตกรุงเทพและปริมณฑล
ตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ ๔๐/๒๕๕๖
(ครั้งที่
๑๗๔)
วันจันทร์ที่
๒๓ ธันวาคม พ.ศ.
๒๕๕๖
จาก http://www.eppo.go.th/nepc/kbg/kbg-174.html
ULG
ก็คือ
Unleaded
Gasoline หรือน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่ว
ในที่นี้คือน้ำมันออกเทน
๙๕ ราคาน้ำมันไม่ผสมเอทานอลหน้าโรงกลั่นเพียง
๒๔.๕๖๖
บาท ถูกกว่าราคาเอทานอลแปลงสภาพที่นำมาผสมอีก
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล์
E10
(มีเอทานอลผสม
10%)
ที่มีค่าออกเทน
๙๕ เหมือนกัน จึงมีราคาแพงกว่า
และพอเป็น E20
(มีเอทานอลผสม
20%)
ก็มีราคาแพงขึ้นไปอีก
และตัวที่ต้นทุนแพงที่สุดคือ
E85
แต่พอมาดูราคาขายปลีกจะเห็นว่าเรากลับไปตั้งราคาให้ตัวที่ต้นทุน
"แพงที่สุด"
ขายในราคาที่
"ถูกที่สุด"
เท่านั้นยังไม่พอ
ยังขายในราคาที่ "ต่ำกว่าต้นทุน"
ด้วย
โดยเฉพาะ E85
ที่ต้องนำเอาเงินสมทบเข้ากองทุนน้ำมันไปโปะถึงลิตรละ
๑๐ กว่าบาท เท่านั้นยังไม่พอ
ยังแถมค่าการตลาดให้สูงกว่าตัวอื่นอีก
แล้วกองทุนน้ำมันเอาเงินมาจากไหน
ก็เอามาจากน้ำมันตัวอื่นที่ขายในราคาที่สูงกว่าต้นทุน
คือให้คนอื่นมาแบกรับภาระต้นทุนที่สูงของ
E20
และ
E85
เพื่อให้คนใช้น้ำมัน
E20
และ
E85
มีน้ำมันใช้ในราคาถูก
ดังนั้นจะเห็นว่าน้ำมัน
E20
และ
E85
จะขายราคาถูกได้ก็ต่อเมื่อมีการใช้น้ำมันที่ไม่ใช่แก๊สโซฮอล์และแก๊สโซฮอล์
E10
อยู่
ถ้าหากการใช้น้ำมันเหล่านี้ลดลงเมื่อใด
หรือการใช้น้ำมัน E20
และ
E85
เพิ่มขึ้นมากเกินไป
ก็จะทำให้ไม่มีเงินมาโปะชดเชยราคาขาย
E20
และ
E85
ให้ขายถูกได้
(เพราะต้นทุนมันสูงกว่าอยู่แล้ว)
การแก้ปัญหาจึงอาจต้องทำโดยการเพิ่มราคาน้ำมันที่ไม่ใช่แก๊สโซฮอล์และแก๊สโซฮอล์
E10
ให้สูงขึ้นไปอีก
ดังนั้นถ้าหากต้องการให้น้ำมันราคาถูกลง
สิ่งแรกที่ควรจะทำก็คือรณรงค์ให้เลิกใช้แก๊สโซฮอล์และไบโอดีเซล
เพราะมันเป็นการลด "ต้นทุน"
สินค้าโดยตรง
แต่พอกล่าวอย่างนี้ก็คงมีคนออกมาคัดค้านว่าเอทานอลและไบโอดีเซลเป็นพลังงานสะอาด
รักษาสิ่งแวดล้อม เป็นพลังงานหมุนเวียน
ไม่ต้องใช้เงินตราต่างประเทศในการซื้อ
แต่มันเป็นจริงอย่างนั้นหรือ
การผลิตไบโอดีเซลชนิด
"เมทิลเอสเทอร์"
ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าต้องใช้
"เมทานอล"
ซึ่งเมทานอลนี้ก็ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
และการผลิตเมทานอลนั้นก็ยังอาศัยปิโตรเลียมเป็นวัตถุดิบ
(ผ่านทางแก๊สธรรมชาติ)
การผลิตเอทานอลก็ต้องใช้พลังงานความร้อนในการกลั่นแยก
แหล่งพลังงานความร้อนที่ใช้ในการกลั่นก็ได้แก่ไอน้ำ
ซึ่งต้องพึ่งถ่านหินหรือน้ำมันเตาเป็นเชื้อเพลิงต้มน้ำให้เดือด
และเชื้อเพลิงเหล่านี้ก็ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
การขนส่งวัตถุดิบทางการเกษตรมายังโรงงาน
ก็ยังใช้รถบรรทุก
ที่ใช้น้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิง
และเราก็ยังต้องนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศเพื่อมาผลิตเป็นน้ำมันดีเซล
เราใช้น้ำมันดีเซลในการขนวัตถุดิบเข้าโรงงาน
เพื่อให้ได้เอทานอลมาชดเชยการใช้น้ำมันเบนซิน
ซึ่งเป็นการทำงานแบบลดการใช้น้ำมันชนิดหนึ่ง
แต่ไปใช้น้ำมันอีกชนิดหนึ่งเพิ่ม
แล้วสรุปว่าเราลดการใช้น้ำมันหรือไม่
การเกษตรของบ้านเรายังต้องพึ่งพาปุ๋ยเคมีและยาปราบศัตรูพืช
ซึ่งยังต้องพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ
อันนี้ยังไม่รวมถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาวที่เกิดจากปุ๋ยเคมีที่ถูกชะล้างลงแหล่งน้ำธรรมชาติและยาปราบศัตรูพืชที่ตกค้างในระบบนิเวศน์
และยังไม่รวมถึงการเพิ่มกำลังการผลิตด้วยการขยายพื้นที่เพาะปลูกด้วยการบุกรุกป่า
ต้นทุนการขนส่งวัตถุดิบมายังโรงงานเป็นต้นทุนใหญ่ต้นทุนหนึ่ง
โครงสร้างการเกษตรของประเทศเหล่าคือเกษตรกรเป็นผู้ปลูก
ใครมีที่ตรงไหนก็ปลูกกันไป
กระจัดกระจายไปทั่ว
ส่วนคนตั้งโรงงานก็ไม่จำเป็นต้องทำการเกษตร
ทำให้ต้องมีการขนส่งผลิตผลทางการเกษตรจากแหล่งต่าง
ๆ มายังโรงงานผลิต
สิบกว่าปีที่แล้วผมมีโอกาสได้ไปเยี่ยมชมการผลิตปาล์มน้ำมันของ
Malaysia
Palm Oil Board ที่ประเทศมาเลเซีย
ที่นั่นเขามีที่ดินแปลงเดียวพื้นที่เป็นหมื่นไร่ไว้สำหรับปลูกปาล์มน้ำมันเพียงอย่างเดียว
ด้วยขนาดพื้นที่เช่นนี้ทำให้เขาสามารถตั้งโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มอยู่กลางแปลงเพาะปลูกได้
ดังนั้นต้นทุนการขนส่งผลิตผลทางการเกษตรมายังโรงงานจึงลดลงไปมาก
นอกจากนี้ประเทศของเขาเองยังเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันดิบส่งออกสุทธิด้วย
แต่การผลิตน้ำมันปาล์มของมาเลเซียนั้นกระทำด้วยวัตถุประสงค์ที่แตกต่างไปจากของไทย
คือเขาเน้นไปที่การนำน้ำมันปาล์มที่ผลิตได้นั้นไปเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดอื่นที่มีมูลค่าสูงขึ้นไปอีก
ไม่ใช่เอามาชดเชยน้ำมันดีเซลที่มันมีราคาถูก
การนำน้ำมันปาล์มไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มสูงนั้นต้องมีกระบวนการวิจัยเพื่อหาทางนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง
ไม่ใช่งานวิจัยเพื่อทำบทความตีพิมพ์เพื่อเพิ่มตำแหน่งให้กับผู้ทำวิจัย
และยังต้องมีการลงทุนในส่วนนี้
ซึ่งแน่นอนว่าต้องยอมรับการสูญเสียไปบางส่วน
เพราะงานวิจัยนั้นต้องมีกระบวนการลองผิดลองถูก
ตรงนี้มันแตกต่างไปจากการนำเอาน้ำมันปาล์มไปทำเป็นไบโอดีเซล
ที่มันมีเทคโนโลยีรองรับสมบูรณ์แบบมากกว่า
เคยมีนักวิจัยจากบริษัทน้ำมันแห่งหนึ่งถามความเห็นผมว่าการวิจัยเรื่องไบโอดีเซลควรทำอย่างไร
ผมก็ตอบไปตามแนวความคิดของผมว่าควรไปทำการวิจัยที่ตัว
"เครื่องยนต์ดีเซล"
เพราะว่าไปแล้วเครื่องยนต์ดีเซลนั้นเดิมทีออกแบบมาเพื่อใช้น้ำมันพืชเป็นเชื้อเพลิง
และไม่จำเป็นต้องเน้นไปที่น้ำมันเพื่อทดแทน
High
Speed Diesel (HSD) แบบที่ใช้กับรถยนต์ทั่วไป
แต่มุ่งเน้นไปที่เครื่องยนต์ที่รอบการทำงานคงที่และไม่ต้องการความเร็วรอบที่สูงมาก
(เช่นเครื่องดีเซลปั่นไฟฟ้า
ส่วนการเพิ่มความเร็วรอบก็ทำได้โดยการใช้ระบบเฟืองทดรอบ)
โดยพัฒนาเครื่องยนต์ที่ทำงานได้ด้วยน้ำมันพืชเพียงอย่างเดียว
หรือน้ำมันดีเซลผสมกับน้ำมันพืชโดยตรง
หรือสำหรับโรงงานขนาดเล็กที่มีการใช้น้ำมันดีเซลในการผลิตไอน้ำนั้น
ควรที่จะผลิตน้ำมันผสมดีเซล
+
น้ำมันพืช
(ใช้แล้ว)
โดยตรง
จำหน่ายเขาไหม
แทนที่จะให้เขาซื้อน้ำมันดีเซลเติมรถยนต์
(ที่มีคุณสมบัติที่ไม่จำเป็นสำหรับการเผาเพื่อผลิตไอน้ำ)
มาเผาเพื่อผลิตไอน้ำ
ส่วนเรื่องเอทานอลนั้น
เขาก็ถามผมมาเหมือนกัน
ผมก็ตอบเขาไปว่าสิ่งเดียวที่ผมเห็นว่าทำให้เอทานอลมีมูลค่าเพิ่มสูงที่สุด
ก็คือขายในรูปของ "เหล้า"
เคยเห็นไหมครับ
เวลาเขามีงานนิทรรศการที่มีการแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรเกี่ยวข้องทีไร
หน่วยงานในสถาบันการศึกษาที่มีการศึกษาทางด้านเทคโนโลยีแปรรูปผลิตผลทางการเกษตรมักจะผลิต
"ไวน์"
ออกมาขาย
ไวน์นี้มีแอลกอฮอล์เพียงแค่
5-7%
แต่ขายกันขวดละ
(๐.๗๕
ลิตร)
ประมาณ
๑๕๐ บาทหรือตกลิตรละ ๒๐๐ บาท
ในขณะที่พวกที่เรียนทางวิศวกรรมเคมีกลับหาทางหมักให้ได้แอลกฮอล์เข้มข้น
10%
จากนั้นก็หาทางกลั่นให้ได้ความบริสุทธิ์
99.5%
เพื่อที่จะไปขายในราคาลิตรละไม่ถึง
๓๐ บาท
จากนี้ต่อไปก็ขอให้พิจารณากันเอาเองก็แล้วกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น