เดิมนั้นแหล่งที่มาที่สำคัญของสารประกอบอะโรมาติกคือถ่านหินและน้ำมันดิบจากบางแหล่ง
แต่ในปัจจุบันสารประกอบอะโรมาติก
(ที่มีวงแหวนเบนซีนเพียงวงเดียวและอาจมีหมู่อัลคิลขนาดเล็กร่วมอยู่ด้วย)
ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดได้มาจากกระบวนการ
Platforming
(ย่อมาจาก
Platinum
Reforming เพราะใช้โลหะ
Pt
เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา)
ที่เปลี่ยนไฮโดรคาร์บอนโซ่ตรง
(คือ
alkane
นั่นเอง)
C6-C8 ให้กลายเป็นเบนซีน
(benzene)
โทลูอีน
(toluene)
และไซลีน
(xylene)
หรือที่คนในวงการเรียกกันย่อ
ๆ ว่า BTX
(เอาอักษรตัวต้นของแต่ละสารมาเรียก)
โดย
C6
จะเปลี่ยนเป็นเบนซีน
C7
เปลี่ยนเป็นโทลูอีน
และ C8
เป็นไซลีน
(ทั้ง
3
ไอโซเมอร์)
เป็นหลักโดยมีเอทิลเบนซีน
(ethyl
benzene) เกิดขึ้นร่วมด้วย
(รูปที่
๑)
รูปที่
๑ กระบวนการ Platforming
ที่ใช้เปลี่ยนสารประกอบอัลเคน
C6-C8
ให้กลายเป็นสารประกอบอะโรมาติก
สารประกอบอะโรมาติกที่ได้นี้มีการนำไปใช้เป็นทั้งสารตั้งต้นสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
ตัวทำละลาย และสารเพิ่มเลขออกเทนสำหรับน้ำมันเบนซิน
(อะโรมาติกเหล่านี้ใช้เป็นสารเพิ่มเลขออกเทนได้ทุกตัวยกเว้นเบนซีนที่มีการจำกัดปริมาณที่เข้มงวด)
โดยการนำไปใช้เป็นสารตั้งต้นสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเคมีนั้นเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากกว่าการนำไปใช้เป็นตัวทำละลายหรือสารเพิ่มเลขออกเทนให้กับน้ำมันเบนซิน
ความต้องการอะโรมาติกแต่ละชนิดของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีเพื่อใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตสารอื่นนั้นแตกต่างกันอยู่
โดยเบนซีนและพาราไซลีน
(para
xylene หรือ
p-xylene
หรือ
1,4-dimethylbenzene)
เป็นสารที่มีความต้องการสูง
ในขณะที่ออโธไซลีน (ortho
xylene หรือ
o-xylene
หรือ
1,2-dimethylbenzene)
นั้นมีความต้องการต่ำกว่า
และความต้องการโทลูอีนและเมตาไซลีน
(meta
xylene หรือ
m-xylene
หรือ
1,3-dimethylbenzene)
นั้นมีความต้องการต่ำลงไปอีก
แต่กระบวนการ platforming
เพียงอย่างเดียวนั้นไม่สามารถผลิตสารที่มีความต้องการสูงได้มากเพียงพอ
จึงได้มีการคิดค้นกระบวนการเพื่อเปลี่ยนอะโรมาติกตัวอื่นที่อุตสาหกรรมปิโตรเคมีมีความต้องการต่ำกว่า
ให้เป็นสารที่มีมูลค่าสูงกว่า
กระบวนการ
disproportionation
เป็นกระบวนการที่ใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาที่ใช้ในการเปลี่ยนโทลูอีน
2
โมเลกุลให้กลายเป็นเบนซีนและไซลีน
(ไอโซเมอร์ผสม)
ในกระบวนการนี้จะทำการย้ายหมู่เมทิล
(-CH3)
ของโทลูอีนโมเลกุลหนึ่งไปให้กับโทลูอีนอีกโมเลกุลหนึ่ง
(รูปที่
๒)
รูปที่
๒ กระบวนการ toluene
disproportionation ที่เปลี่ยนโทลูอีนให้กลายเป็นเบนซีนและไซลีน
(ไอโซเมอร์ผสม)
ในบรรดาไอโซเมอร์ต่าง
ๆ ของไซลีนนั้น p-xylene
เป็นตัวที่อุตสาหกรรมปิโตรเคมีมีความต้องการมากที่สุด
ในขณะที่ความต้องการ m-xylene
นั้นน้อยที่สุด
และน้อยกว่าความต้องการ
p-xylene
อยู่มาก
แต่กระบวนการ platinum
reforming และ
toluene
disproportionation
นั้นสามารถให้ไซลีนแต่ละไอโซเมอรได้ตรงสัดส่วนความต้องการ
กล่าวคือผลิต p-xylene
ได้ไม่เพียงพอกับความต้องการ
ในขณะที่ได้ m-xylene
ออกมาเหลือเฟือ
และยังมีเอทิลเบนซีนเกิดขึ้นในปริมาณที่ไม่คุ้มค่าที่จะแยกออกมาเป็นผลิตภัณฑ์อีกตัวหนึ่ง
(ที่มาหลักของเอทิลเบนซีนในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีได้จากปฏิกิริยาระหว่างเบนซีนกับเอทิลีน
ไม่ได้มาจากกระบวนการ
platforming)
ด้วยเหตุนี้ในอุตสาหกรรมจึงมีหน่วย
xylene
isomerisation ที่เปลี่ยน
m-xylene
และเอทิลีนเบนซีนให้กลายเป็น
o-xylene
และ
p-xylene
(รูปที่
๓)
รูปที่
๓ กระบวนการ xylene
isomerisation
ปฏิกิริยา
nitration
เป็นปฏิกิริยาหนึ่งที่เกิดขึ้นกับวงแหวนเบนซีนได้ง่าย
ในปฏิกิริยานี้จะใช้กรด
HNO3
และ
H2SO4
เข้มข้นทำปฏิกิริยากับเบนซีน
อะตอม H
ของวงแหวนจะถูกแทนที่ด้วยหมู่
nitro
(-NO2) ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการแทนที่ที่ตำแหน่งเดียวคือ
nitrobenzene
ส่วนผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการแทนที่ที่สองตำแหน่งคือ
1,3-dinitrobenzene
คือการแทนที่ครั้งที่สองจะเกิดที่ตำแหน่ง
meta
เมื่อเทียบกับหมู่แรก
ทั้งนี้เป็นเพราะหมู่ -NO2
นั้นเป็นหมู่ที่ดึงอิเล็กตรอนออกจากวงแหวน
(electron
withdrawing group) เพียงอย่างเดียว
(อะตอม
N
มันไม่มีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวหลงเหลืออยู่
และยังมีอะตอม O
อีก
2
อะตอมดึงอิเล็กตรอนออกจากตัวมันเองอีก)
ซึ่งหมู่ที่มีลักษณะทำนองนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้การแทนที่ครั้งที่สองจะเกิดที่ตำแหน่ง
meta
เป็นหลัก
แต่ยังทำให้การแทนที่ครั้งที่สองยังเกิดได้ยากกว่าการแทนที่ครั้งแรก
การรีดิวซ์หมู่
-NO2
จะได้หมู่
amino
(-NH2) ดังนั้นการรีดิวซ์
nitrobenzene
ก็จะได้
aniline
และการรีดิวซ์
1,3-dinitrobenzene
ก็จะได้
m-phenylenediamine
(รูปที่
๔)
รูปที่
๕
ผลของหมู่แทนที่หมู่ที่หนึ่งที่ส่งต่อความว่องไวในการแทนที่ด้วยหมู่ที่สองบนวงแหวนเบนซีน
(จากหนังสือ
"A
consise introduction to organic chemistry" โดย
Albert
Alatkis, Eberhard Breitmaier และ
Günther
Jung, สำนักพิมพ์
McGraw
Hill, 13th printing, 1985. หน้า
196
รูปที่
ในหน้าถัดไปก็มาจากหนังสือเล่มเดียวกัน)
รูปที่
๖
ผลของหมู่แทนที่หมู่ที่หนึ่งต่อตำแหน่งการแทนที่ของหมู่ที่สองบนวงแหวนเบนซีน
(หน้า
๑๙๘)
อะตอม
N
ของหมู่
-NH2
นั้นแตกต่างจากอะตอม
N
ของหมู่
-NO2
ตรงที่อะตอม
N
ของหมู่
-NH2
นั้นไม่มีอะตอมอื่นที่มีค่า
electronegativity
สูงกว่า
(เช่นอะตอม
O)
เกาะอยู่กับตัวมัน
ความสามารถในการดึงอิเล็กตรอนออกจากวงแหวนเบนซีนของอะตอม
N
ของหมู่
-NH2
จึงต่ำกว่าอะตอม
N
ของหมู่
-NO2
นอกจากนี้ตัวมันเองก็ยังมีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวหลงเหลืออยู่
ทำให้ภาพรวมของหมู่ -NH2
จึงเป็นหมู่ที่จ่ายอิเล็กตรอนให้กับวงแหวนเบนซีนได้ดีมาก
ดังนั้นเมื่อนำเอา aniline
(ที่แม้ว่าจะมีหมู่
-NH2
เกาะอยู่เพียงตำแหน่งเดียว)
มาทำปฏิกิริยา
bromination
กับ
Br2
อะตอม
Br
จะสามารถเข้าแทนที่ยังทุกตำแหน่งที่สามารถเข้าแทนที่ได้
(ตำแหน่ง
ortho
และ
para
เมื่อเทียบกับหมู่
-NH2)
ได้
2,6,6-tribromoaniline
เป็นผลิตภัณฑ์
(รูปที่
๕-๗)
รูปที่
๗ ปฏิกิริยา bromination
ของ
aniline
ที่นี้ถ้าลองมาพิจารณาดูว่าถ้าเอา
aniline
มาทำปฏิกิริยา
nitration
แล้วจะได้ผลิตภัณฑ์ใดบ้าง
จากข้อมูลในรูปที่ ๕
จะเป็นว่าจากการที่ -NH2
เป็น
ring
activating group และ
o-,
p- directing group หมู่
-NO2
ก็ควรที่จะเข้าแทนที่ที่ตำแหน่ง
ortho
และ
para
(Route 1 และ
Route
2 ในรูปที่
๘)
เมื่อเทียบกับหมู่
-NH2
ได้ผลิตภัณฑ์เป็น
2-nitroaniline
และ
4-nitroaniline
ซึ่งถ้านำผลิตภัณฑ์ทั้งสองนี้ไปรีดิวซ์หมู่
-NO2
ก็ควรจะได้ผลิตภัณฑ์เป็น
o-phenylenediamine
และ
p-phenylinediamine
ตามลำดับ
แต่ปฏิกิริยา
nitration
นั้นเกิดขึ้นในสภาวะที่เป็นกรดแก่ที่เข้มข้น
(HNO3
+ H2SO4) นอกจากนี้หมู่
-NH2
เองยังมีคุณสมบัติเป็นเบสลิวอิส
(มันมีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว)
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้การเติมหมู่
-NO2
เข้าไปที่วงแหวนของ
aniline
นั้นได้ผลที่แตกต่างไปจากการเติมอะตอม
Br
เข้าไปที่วงแหวน
รูปที่
๘ ความเป็นไปได้ของผลิตภัณฑ์ที่จะเกิดเมื่อนำเอา
aniline
มาทำปฏิกิริยา
nitration
กล่าวคืออะตอม
N
ของหมู่
-NH2
จะรับ
H+
ที่กรดจ่ายมาให้
ทำให้ตัวมันเองกลายเป็น
-NH3+
ซึ่งไม่มีอิเล็กตรอนคู่โดยเดี่ยวหลงเหลืออยู่
และอะตอม N
เองจะมีความสามารถในการดึงอิเล็กตรอนออกจากวงแหวนเบนซีนได้ดีขึ้น
ทำให้การแทนที่ครั้งที่สองนั้นแทนที่จะเกิดที่ตำแหน่ง
ortho
หรือ
para
แต่เกิดที่ตำแหน่ง
meta
เป็นหลักแทน
(Route
3 ในรูปที่
๘)
ผลิตภัณฑ์ที่ได้คือ
3-nitroaniline
ซึ่งเมื่อทำการรีดิวซ์หมู่
-NO2
ก็จะได้ผลิตภัณฑ์เป็น
m-phenylenediamine
ด้วยเหตุนี้การสังเคราะห์สารประกอบที่มีหมู่
-NO2
อยู่ที่ตำแหน่ง
ortho
หรือ
para
เทียบกับหมู่
-NH2
จาก
aniline
จึงต้องมีการดัดแปลงกระบวนการกันเล็กน้อย
วิธีการหนึ่งที่ใช้กันก็คือนำเอา
aniline
มาทำปฏิกิริยากับ
acetic
anhydride ก่อนเพื่อเปลี่ยนหมู่
-NH2
ให้กลายเป็น
-NH-C(O)-CH3
(รูปที่
๙)
ได้สารประกอบ
acetanilide
อะตอม
C
ของหมู่
carbonyl
(C=O) จะดึงอิเล็กตรอนออกจากอะตอม
N
ทำให้ความเป็นเบสของอะตอม
N
ลดต่ำลงจนจับ
H+
ได้ยากขึ้น
แต่อะตอม N
ก็ยังคงมีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวหลงเหลืออยู๋
ทำให้การแทนที่ครั้งที่สองยังคงเกิดที่ตำแหน่ง
ortho
และ
para
เป็นหลัก
ดังนั้นเมื่อนำ acetanilide
ไปทำปฏิกิริยา
nitration
หมู่
-NO2
ก็จะเข้าแทนที่ที่ตำแหน่ง
ortho
หรือ
para
และเมื่อนำผลิตภัณฑ์ที่ได้ไปทำการรีดิวซ์ต่อ
ทั้งหมู่ -NO2
และ
-NH-C(O)-CH3
ก็จะถูกรีดิวซ์พร้อมกัน
ได้ผลิตภัณฑ์เป็น o-phenylenediamine
และ
p-phenylinediamine
ตามลำดับ
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ก็คงจะมองเห็นภาพรวมแล้วนะครับว่า
การสร้างสารประกอบที่มีหมู่
-NH2
2 ตำแหน่งอยู่บนวงแหวนเบนซีนโดยเริ่มต้นจากน้ำมันปิโตรเลียมนั้น
มันมีเส้นทางอย่างไรบ้าง
(อันที่จริงมันยังมีเส้นทางอื่นอีกนะ)
รูปที่
๙ การป้องกันหมู่ -NH2
ด้วยการทำปฏิกิริยากับ
acetic
anhydride ก่อนทำปฏิกิริยา
nitration
อันที่จริงปฏิกิริยา
nitration
ของ
aniline
ก็ยังมีการถกเถียงกันอยู่ว่าอันที่จริงควรจะได้อะไรเป็นผลิตภัณฑ์
(แต่ดูเหมือนว่าเป็นการเถียงกันโดยใช้ทฤษฎีมากกว่าการนำเอาวิธีการและผลการทดลองมาแสดง)
โดยในแง่หนึ่งนั้นบอกว่าจะได้ผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการแทนที่ที่ตำแหน่ง
meta
คือ
3-nitroaniline
เป็นหลัก
(หนังสืออินทรีย์เคมีของ
Albert
Alatkis และคณะที่ผมมีอยู่ก็กล่าวไว้เช่นนี้)
ด้วยเหตุผลที่ว่าในภาวะการทำปฏิกิริยาที่เป็นกรดแก่เข้มข้นนั้น
aniline
ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดจะกลายเป็น
anilinium
ion แต่ก็มีการให้เหตุผลแย้งเหมือนกันคือแม้ว่าจะเหลือ
aniline
เพียงส่วนน้อย
แต่ปฏิกิริยาของ aniline
นั้นรวดเร็วกว่าปฏิกิริยาของ
anilinium
ion อยู่มาก
(รูปที่
๕ ที่วงสีแดงเอาไว้)
ดังนั้นผลิตภัณฑ์ที่ได้จึงเป็นผลิตภัณฑ์ผสมทั้ง
3
ไอโซเมอร์
นอกจากนี้ยังมีการกล่าวว่าได้ผลิตภัณฑ์ที่มีการแทนที่ที่ตำแหน่ง
ortho
และ
para
ในสัดส่วนพอกัน
ในขณะที่ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีการแทนที่ที่ตำแหน่ง
ortho
เกิดขึ้นน้อยมาก
(รูปที่
๑๐)
รูปที่
๑๐ บทความเกี่ยวกับ aniline
nitrationที่มีการกล่าวว่าเกิดผลิตภัณฑ์การแทนที่ที่ตำแหน่ง
meta
กับ
para
ในสัดส่วนพอ
ๆ กันโดยมีผลิตภัณฑ์การแทนที่ที่ตำแหน่ง
ortho
เพียงน้อยมาก
(ข้อมูล
ณ วันศุกร์ที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๘
จาก
http://inside.warren-wilson.edu/~research/Undergrad_Res/nss97-98/abstrspr98.htm)
มีผู้พยายามอธิบายรายงานในรูปที่
๑๐ ว่าทำไมจึงแทบไม่เกิดการแทนที่ที่ตำแหน่ง
ortho
เลยโดยใช้เหตุผลด้าน
steric
effect แต่ผมก็ยังสงสัยคำอธิบายนี้อยู่ด้วยเหตุผลที่ว่าขนาดของหมู่
-NH2
นั้นก็ไม่ได้แตกต่างไปจากขนาดของหมู่
-CH3
ของโทลูอีนหรือ
-OH
ของฟีนอลอะไรนัก
แต่หมู่ -NO2
ก็สามารถเข้าไปอยู่ข้าง
ๆ ทั้งสองข้างของหมู่ -CH3
ในโทลูอีนและหมู่
-OH
ในโมเลกุลฟีนอลได้
แบะสารประกอบ trinitroaniline
ที่มีหมู่
-NO2
ก็อยู่ข้าง
ๆ ทั้งสองข้างของหมู่ -NH2
ก็มีอยู่
นอกจากนี้ตำแหน่ง ortho
นั้นมีถึง
2
ตำแหน่งในขณะที่ตำแหน่ง
para
มีตำแหน่งเดียว
ถ้า steric
effect มีผลกระทบต่อการแทนที่จริง
ก็ไม่น่าที่จะทำให้สัดส่วนผลิตภัณฑ์การแทนที่ที่ตำแหน่ง
para
และ
ortho
แตกต่างกันมากดังบทความในรูปที่
๑๐
แต่ผมเองก็ยังมีข้อสงสัยอีกข้อหนึ่งที่ยังไม่มีคำตอบคือ
ลำดับวิธีการผสมสารจะส่งผลต่อผลิตภัณฑ์ที่ได้หรือไม่
Acyl
chloride เป็นอนุพันธ์ชนิดหนึ่งของกรดอินทรีย์
(carboxylic
acid -COOH) ที่มีความว่องไวในการทำปฏิกิริยา
แนวทางหนึ่งในการเตรียมสารนี้คือปฏิกิริยาระหว่างกรดอินทรีย์กับ
thionyl
chloride (รูปที่
๑๑)
รูปที่
๑๑ การเตรียม acyl
chloride จาก
carboxylic
acid
หมู่อัลคิลที่เกาะอยู่กับวงแหวนเบนซีนนั้นถูกออกซิไดซ์ได้ง่ายกว่าตัววงแหวนเอง
ดังนั้นถ้าเรานำเอา xylene
มาออกซิไดซ์
หมู่ -CH3
ทั้งสองหมู่ของ
xylene
จะถูกออกซิไดซ์เป็นหมู่
-COOH
ในกรณีของ
p-xylene
ผลิตภัณฑ์ที่ได้คือ
terephthalic
acid (ที่เป็นสารตั้งต้นตัวหนึ่งในการผลิต
polyester
พวก
polyethylene
terephthalate หรือ
PET)
และในกรณีของ
m-xylene
ผลิตภัณฑ์ที่ได้คือ
isophthalic
acid และถ้านำเอากรดทั้งสองไปทำปฏิกิริยาต่อกับ
thionyl
chloride ก็จะได้
terephthaloyl
chloride และ
isophthaloyl
chloride (รูปที่
๑๒)
มาถึงจุดนี้เราก็ได้ตัวละครครบทุกตัวแล้วนะครับ
รูปที่
๑๒ การเปลี่ยน p-xylene
และ
m-xylene
ให้กลายเป็น
terephthaloyl
chloride และ
isophthaloyl
chloride
polyamide
เป็นพอลิเมอร์ที่โมโนเมอร์เชื่อมต่อกันด้วยพันธะ
amide
(-C(O)-NH-) ที่อาจเกิดจากการควบแน่นระหว่างหมู่
-COOH
กับ
-NH2
(โดยมีการคาย
H2O
ออกมา)
หรือระหว่างหมู่
-COCl
กับ
-NH2
(โดยมีการคาย
HCl
ออกมา)ก็ได้
และถ้าสายโซ่พอลิเมอร์ที่อยู่ระหว่างพันธะ
amide
นั้นเป็นโครงสร้างวงแหวนเบนซีน
ก็จะเรียก polyamide
นั้นว่าเป็น
aromatic
polyamide หรือ
aramide
เส้นใย
aramide
มีลักษณะเด่นตรงที่ทนความร้อนและรับแรงดึงได้สูง
ตัวอย่างของเส้นใยดังกล่าวได้แก่ตัวที่มีชื่อทางการค้าว่า
"Nomex"
และ
"Kevlar"
Nomex
เป็นเส้นใย
aramide
ที่เตรียมขึ้นจากปฏิกิริยาการควบแน่นระหว่างโมเลกุล
isophthaloyl
chloride กับ
m-phenylydenediamine
ส่วน
Kevlar เตรียมขึ้นจากปฏิกิริยาการควบแน่นระหว่างโมเลกุล
terephthaloyl
chloride กับ
p-phenylydenediamine
(รูปที่
๑๓)
โดย
Nomex
มีจุดเด่นในเรื่องการทนความร้อนจึงมีการนำไปใช้ตัดชุดผจยเพลิง
ในขณะที่ Kevlar
มีจุดเด่นในเรื่องความสามารถในการรับแรงดึงที่สูงจึงนำมาใช้ผลิตเกราะกันกระสุน
รูปที่
๑๓ การสังเคราะห์เส้นใย
Nomex
และ
Kevlar
ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจคือทำไมในกรณีของไนลอนนั้น
เราสามารถสร้างพันธะ amide
ได้จากปฏิกิริยาระหว่างหมู่คาร์บอกซิล
-COOH
กับหมู่อะมิโน
-NH2
(ที่เล่าไว้ใน
Memoir
ฉบับที่แล้ว)
แต่ในกรณีของ
aramid
นั้นกลับต้องเปลี่ยนหมู่
-COOH
ของ
isophthalic
acid หรือ
terephthalic
acid ให้กลายเป็น
-COCl
ก่อน
ทั้งนี้เพราะ acyl
chloride มีความว่องไวในการทำปฏิกิริยาควบแน่นสูงกว่าหมู่
-COOH
มาก
จากประสบการณ์ส่วนตัวพบว่า
ในกรณีของผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นจากสารตั้งต้นที่ต้องสังเคราะห์ขึ้นนั้น
ตำราเคมีอินทรีย์นั้นมักเน้นไปที่ปฏิกิริยาในขั้นตอนสุดท้ายที่ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ต้องการ
โดยไม่กล่าวถึงสารตั้งต้นที่ใช้เตรียมนั้นมาได้อย่างไรและผลิตภัณฑ์ข้างเคียงที่เกิดขึ้น
ในขณะที่งานทางวิศวกรรมเคมีนั้นมักจะเริ่มจากสารตั้งต้นที่มีโครงสร้างที่เรียบง่าย
(เช่นไฮโดรคาร์บอนต่าง
ๆ)
แต่จำเป็นต้องเปลี่ยนสารตั้งต้นที่มีโครงสร้างที่เรียบง่ายนั้นให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีโครงสร้างที่ซับซ้อน
ซึ่งกว่าที่สารตั้งต้นดังกล่าวจะกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องการได้ก็ต้องผ่านการทำปฏิกิริยาหลายขั้นตอนที่ปรากฏอยู่ในเนื้อหาบทต่าง
ๆ ของหนังสือเคมีอินทรีย์
บทความชุดนี้จึงถูกเขียนขึ้นเพื่อให้ผู้ที่เรียนทางด้านวิศวกรรมเคมีได้เห็นภาพกว้างของอุตสาหกรรมเคมีและปิโตรเคมี
และมองเห็นว่าความรู้ในวิชาเคมีอินทรีย์ที่เรียนไปนั้นมีการนำไปใช้ประโยชน์อย่างไร
รูปข้างล่างก็ไม่มีอะไร เห็นหน้ากระดาษมันว่างก็เลยเอารูปถ่ายห้องแลปที่ถ่ายไว้เมื่อราวเก้าโมงเช้าวันนี้มาลง :) :) :)
รูปข้างล่างก็ไม่มีอะไร เห็นหน้ากระดาษมันว่างก็เลยเอารูปถ่ายห้องแลปที่ถ่ายไว้เมื่อราวเก้าโมงเช้าวันนี้มาลง :) :) :)