วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2559

จากสระน้ำเมื่อ ๒๐ ปีที่แล้ว กลายเป็นสนามกีฬาในปัจจุบัน (ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๑๑๙) MO Memoir : Friday 2 December 2559

คงเป็นเพราะเขาเห็นผมเขียนสารพัดเรื่องราวไร้สาระลง blog ส่วนตัวเป็นประจำ ก็เลยมอบหมายหน้าที่ให้ช่วยเป็น admin ดูแล facebook ของภาควิชาร่วมกับอาจารย์ท่านอื่น อันที่จริงผมก็ยังถือคติเอา facebook ไว้เป็นที่เล่น ที่พักผ่อน เป็นหลักครับ ไม่อยากให้เป็นการสั่งงานสั่งการใด ๆ แต่เมื่อได้รับหน้าที่มา (โดยไม่มีการระบุรายละเอียดว่าจะให้ทำอะไร) และโดยฐานะที่ไม่ได้เป็นกรรมการบริหารงานอะไรของภาควิชา ก็เลยคิดว่าจะช่วยทำหน้าที่หาเรื่องราวอะไรต่าง ๆ มาช่วยโพสเพื่อไม่ให้หน้าเฟสมันเงียบเหงาเกินไป ดังนั้นถ้าจะคุยอะไรเป็นการเป็นงานก็กรุณาคุยกับแอดมินท่านอื่นนะครับ
 
เรื่องที่คิดว่าจะโพสก็คงจะเป็นเรื่องเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยทั่วไปของภาควิชา คณะ หรือมหาวิทยาลัย อาจเรียกได้ว่าเป็นข่าวเหตุการณ์ประจำวันทั่ว ๆ ไป หรือไม่ก็เป็นเรื่องราวในอดีต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวในส่วนที่ตัวเองประสบหรือเคยได้ยินมา ทั้งนี้เพื่ออยากให้คนรุ่นก่อนได้เห็นว่าปัจจุบันสถานที่และการเรียนการสอนต่าง ๆ นั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง และให้คนในปัจจุบันได้รับรู้ว่ากว่าจะมาเป็นสิ่งที่เราเห็นทุกวันนี้นั้น แต่ก่อนมันเป็นอย่างไร


รูปที่ ๑ บ้านหลังที่สองของภาควิชา (คิดว่าคงเข้าใจไม่ผิด) ด้านหน้าตึกหันลงด้านทิศเหนือ ด้านตะวันออก (ฝั่งถนนอังรีดูนังต์) เป็นส่วนของภาควิชานิวเคลียร์เทคโนโลยี (แม้ว่าอาคารจะต่อเนื่องกัน แต่ไม่มีทางเดินเชื่อมต่อกัน) ด้านหลัง (ทิศใต้) คือคณะรัฐศาสตร์ ส่วนด้านทิศตะวันตกของอาคาร (ด้านหันไปยังศาลาพระเกี้ยว) ปัจจุบันเป็นสนามกีฬา ที่แบ่งครึ่งกันใช้ระหว่างคณะวิศวกรรมศาสตร์และคณะรัฐศาสตร์
 
เรื่องที่จะเอามาแบ่งปันนั้น บางเรื่องก็จะเป็นเรื่องที่เขียนขึ้นมาใหม่ (เช่นเรื่องนี้) หรือไม่ก็เป็นเรื่องที่เคยเขียนลง blog เอาไว้แล้ว (ขี้เกียจเขียนเรื่องเดิมซ้ำ) และเพื่อให้เรื่องต่าง ๆ มันค้นกลับได้ง่าย ดังนั้นจึงตัดสินใจที่จะเขียนลงบน blog ด้วย และค่อยทำลิงค์จากหน้า faceboook ของภาควิชาออกมา โดยเรื่องแรกที่จะขอประเดิมคือสระน้ำข้างตึก ที่ปัจจุบันหายไปแล้ว
 
รูปที่ ๑ นั้นเป็นอาคารที่ปัจจุบันเรียกว่าอาคารปฏิบัติการรวม แต่ตอนที่ผมเข้ามาเรียนหนังสือ (พ.ศ. ๒๕๒๗) หรือตอนกลับมาทำงานใหม่ ๆ นั้น (พ.ศ. ๒๕๓๗) ยังเรียกกันว่าอาคารสามภาควิชา คือประกอบด้วยภาค วิชาวิศวกรรมเคมี วิศวกรรมโลหการ และนิวเคลียร์เทคโนโลยี ภาควิชานิวเคลียร์เทคโนโลยีนั้นครอบครองพื้นที่ซึกด้านถนนอังรีดูนังต์ (ด้านตะวันออก) ของอาคารทั้งสี่ชั้น โดยไม่มีทางเดินเชื่อมต่อกับอาคารซีกด้านตะวันตกที่เป็นที่อยู่ของภาควิชาวิศวกรรมเคมีและวิศวกรรมโลหการ อาคารนี้เข้าใจว่าเป็นบ้านหลังที่สองของภาควิชาเรา โดยบ้านหลังแรกนั้นอยู่ร่วมกับภาควิชาวิศวกรรมสุขาภิบาล (ชื่อในขณะนั้น) ตรงบริเวณที่เป็นอาคารที่ตั้งภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน
 
พื้นที่ชั้น ๑ ของอาคารนั้นมีการแบ่งกันระหว่างภาควิชาวิศวกรรมเคมและวิศวกรรมโลหการ เพื่อใช้เป็นที่ตั้งห้องปฏิบัติการของนิสิตปริญญาตรีของแต่ละภาควิชา ชั้นที่ ๒ เป็นพื้นที่ของภาควิชาวิศวกรรมโลหการทั้งหมด ชั้นที่ ๓ เป็นพื้นที่ของภาควิชาวิศวกรรมเคมีเกือบทั้งหมด (ที่ใช้คำกว่าเกือบก็เพราะมีห้องกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนของภาคโลหการตั้งอยู่ด้วย) ชั้นนี้เป็นที่ตั้งของห้องธุรการภาควิชาและห้องทำงานหัวหน้าภาควิชา (ห้องเจ้าหน้าที่ศูนย์เครื่องมือวิเคราะห์ในปัจจุบัน) ห้องปฏิบัติการเคมีพื้นฐาน (เอาไว้จะเขียนเรื่องนี้ออกมาเป็นอีกเรื่องหนึ่ง) ห้องเรียน ห้องคอมพิวเตอร์ (ปัจจุบันทั้งสองห้องนี้กลายเป็นพื้นที่ของห้องปฏิบัติการเคมีพื้นฐานไปแล้ว) ห้องพักนิสิต (ที่เอาไว้นั่งเล่น "จับหมู" รอเวลาเรียน) ส่วนชั้นที่ ๔ นั้นเป็นของภาควิชาวิศวกรรมเคมีทั้งหมด เป็นส่วนของห้องพักอาจารย์ และห้องวิจัยของนิสิตปริญญาโท (ตอนนั้นยังไม่มีหลักสูตรปริญญาเอก)
 
ปัจจุบัน (ตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๕๔๐ ที่มีการเปิดใช้อาคารวิศว ๔ และวิศว ๕) อาคารนี้ในส่วนของภาควิชาวิศวกรรมเคมีและวิศวกรรมโลหการ หลังจากใช้ชื่อชั่วคราวว่าเป็นอาคาร ๔ ภาควิชาอยู่พักหนึ่ง ก็เปลี่ยนชื่อเป็นอาคารปฏิบัติการรวม


รูปที่ ๒ โถงทางขึ้นตึกยังคงเหมือนเดิม ที่เปลี่ยนแปลงไปคือกระเบื้องปูพื้นที่มีบริษัทขุดเจาะปิโตรเลียมมาลงทุนทำให้

รูปที่ ๓ บันไดทางขึ้นอาคารด้านทิศตะวันตก ปัจจุบันตรงช่วงจากชั้น ๓ (จากภาควิชาเรา) ขึ้นไปชั้น ๔ (ไปยังภาคสิ่งแวดล้อม) มักจะมีคนเอาธูปเทียน น้ำ (และอาหารในบางครั้ง) มาวางไว้เป็นประจำ ที่ยืนยันได้ก็คือคนที่เอามาวางเป็นคนของชั้น ๔ แสดงว่าสิ่งที่เคยเกิดขึ้นเมื่อในอดีตสมัยที่ภาคเรายังคงครอบครองพื้นที่ส่วนนั้น ปัจจุบันก็ยังคงมีอยู่ ส่วนเคยเกิดอะไรขึ้นบ้างนั้น เอาไว้วันหลังจะเล่าให้ฟัง อันที่จริงก็เคยเขียนลง blog ไว้หลายปีแล้ว ในเรื่อง "เหตุเกิดตอนทำแลปกลางคืน"
 
เดิมทีนั้นแผนการของทางคณะก็คือเมื่อสร้างอาคารวิศว ๔ และ ๕ เสร็จ ก็จะทุบตึกนี้ทิ้งและสร้างตึกใหม่ขึ้นมาแทน แต่วิกฤตเศรฐกิจที่เกิดขึ้นในปีพ.ศ. ๒๕๔๐ ทำให้ไม่มีงบประมาณสร้างตึกใหม่ ประกอบกับอาคารวิศว ๔ ที่เดิมจะให้ภาควิฃาวิศวกรรมเคมีและโลหการย้ายขึ้นไปอยู่นั้น ไม่ได้รับการออกแบบให้มีห้องปฏิบัติการเคมี หรือห้องทดลองที่มีการใช้น้ำทำการทดลอง เป็นเพียงแค่ออกแบบมาเพื่อรองรับการทำงานแบบอาคารสำนักงาน ก็เลยมีการย้ายบางส่วนงานเท่านั้นไปอยู่ยังอาคารวิศว ๔ และ ๕ ก็เลยมีการดัดแปลงอาคาร ๓ ภาควิชาเดิมให้กลายเป็นอาคารปฏิบัติการรวม คือเป็นแหล่งรวมห้องทดลอง แต่ในส่วนของอาคารภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมนั้นมีแผนการทุบตึกเดิมและสร้างตึกใหม่รองรับอยู่แล้ว ก็เลยมีการดัดแปลงพื้นที่ชั้น ๒ เพื่อให้ภาคเหมืองแร่และปิโตรเลียม (ตอนนี้กลายเป็นทรัพยากรธรณี) ย้ายห้องทดลองเข้ามา (อยู่ร่วมกับภาคโลหการ) และให้ภาคสิ่งแวดล้อมย้ายห้องทดลองเคมีไปอยู่บนชั้น ๔ ครอบครองพื้นที่ชันนั้นเอาไว้ทั้งหมด โดยในส่วนของพื้นที่ชั้นล่างนั้นยังคงเหมือนเดิม ชั้นที่ ๓ ยังคงเป็นของภาควิชาเราอยู่ แต่เปลี่ยนพื้นที่ทั้งหมดเป็นห้องปฏิบัติการเคมีพื้นฐาน ห้องศูนย์เครื่องมือวิเคราะห์ และห้องวิจัยระดับบัณฑิตศึกษา 
   
บริเวณด้านทิศตะวันตกของอาคารภาควิชา ไปจนถึงอาคารภาควิชาวิศวกรรมสำรวจนั้น เดิมทีเป็นสระน้ำครับ มีต้นไทรใหญ่ขึ้นอยู่ริมน้ำ (ปัจจุบันก็ยังอยู่) ตอนที่ผมเรียนหนังสือ (ช่วงปีพ.ศ. ๒๕๒๗ - ๒๕๓๑) ก็ยังเป็นสระน้ำที่สะอาดอยู่ ยังได้เห็นนิสิตคณะรัฐศาสตร์เอาเรือมาพายเล่นในสระดังกล่าว
 
กลับมาทำงานปี ๒๕๓๗ เนื่องจากต้องมีการกันพื้นที่สำหรับสร้างอาคาร ๔ และ ๕ ทำให้ตึกภาควิชาของเราถูกตัดขาดจากคณะเพราะพื้นที่หน้าตึกทั้งหมดถูกกันไว้เป็นพื้นที่ก่อสร้าง ทางคณะจึงทำทางเดินชั่วคราวแคบ ๆ ให้เลียบสระน้ำดังกล่าวมาทางด้านหลังตึกที่เป็นห้องปฏิบัติการของภาคโยธาและสิ่งแวดล้อม แม้ว่าตอนนั้นจะมีการนำเอาขยะ (ทั้งถุงดำและหลอดฟูออเรสเซนส์ โดยใครก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเป็นของคณะวิศว) ไปโยนทิ้งไว้ในสระน้ำดังกล่าว (ทางฝั่งคณะวิศว) แต่ก็ยังได้เห็นนกกวักเดินเล่นอยู่ หรือบางทีก็มีงูเขียวโผล่มาทักทายตรงทางเดิน
  
และในที่สุดเมื่อสร้างอาคารเสร็จ ก็เลยมีการกวาดเอาขยะทั้งหมดลงไปในสระน้ำพร้อมกับถมสระน้ำดังกล่าว กลายเป็นสนามหญ้าสีเขียวแทน นับเป็นการสิ้นสุดการมีสระน้ำสำหรับพายเรือเล่นตั้งแต่บัดนั้น
เรื่องยังไม่จบครับ เพราะเมื่อมีการสร้างตึกใหม่ของภาควิชาวิศวกรรมโยธาและสิ่งแวดล้อมแทนที่อาคารเดิม มีการขุดพื้นที่บริเวณสนามหญ้าใหม่ (เช่นใจว่าต้องการฝังถังหรือทำบ่ออะไรบางอย่าง) ก็เลยกลายเป็นว่าไปขุดเอาขยะต่าง ๆ ที่ฝังซุกซ่อนไว้ข้างใต้โผล่ขึ้นมา และก็ไม่มีที่ให้ใส่กลับลงไปด้วย สุดท้ายก็เลยต้องทำการเทคอนกรีตปิดทับพื้นสนามหญ้าดังกล่าว (คงเป็นเพราะไม่อยากให้ใครขุดดินเล่นมั้ง) ก็เลยกลายมาเป็นสนามกีฬาในปัจจุบัน
  
ดูเหมือนว่าตอนที่พื้นที่ดังกล่าวเป็นสระน้ำอยู่ก็ไม่มีใครสนใจว่าเป็นที่ใคร แต่พอมาเป็นพื้นดินแล้วก็เลยมีปัญหากัน เข้าใจว่าพื้นที่นี้ในส่วนของสนามบาส (ที่ทาสีเขียวที่ติดกับอาคารภาควิชา) จะเป็นคณะรัฐศาสตร์ดูแล ส่วนที่อยู่ทางด้านภาควิชาวิศวกรรมสำรวจและสิ่งแวดล้อมนั้นเป็นส่วนที่คณะวิศวดูแล ในส่วนของพื้นที่คณะรัฐศาสตร์เองนั้นเนื่องจากมันไม่มีถนนเข้าถึง ก็เลยยังคงเป็นสนามกีฬาเล่นได้ตลอดเวลาอยู่ ส่วนพื้นที่ของคณะวิศวนั้นกลายเป็นลานจอดรถเป็นหลัก (มีเอารถมาจอดทิ้งไว้ด้วย) ใครจะใช้พื้นที่เพื่อเล่นกีฬาก็ต้องมีการทำป้ายเตือนไปติดตั้งล่วงหน้า (หลายวันหน่อยก็ดี) และประกาศไปเหน็บไว้ตามหน้ารถที่เข้ามาจอด เพื่อ "ขอ" ใช้พื้นที่สนามกีฬาดังกล่าว

วันนี้ก็ขอทักทายกันครั้งแรกบนหน้า facebook เพียงแค่นี้ก่อนครับ สวัสดีครับ


รูปที่ ๔ บริเวณด้านหลังตึกวิศว ๕ ตรงพื้นที่รอยต่อกับคณะรัฐศาสตร์ เดิมเป็นสระน้ำ มีต้นไทรใหญ่อยู่ริมสระ ปัจจุบันกลายเป็นสนามกีฬาและลานจอดรถ (ที่มีขยะสารพัดพิษฝังอยู่ข้างใต้)

ไม่มีความคิดเห็น: