อุปกรณ์วัดที่ใช้ในแวดวงอุตสาหกรรมเคมีจะมีคำย่อที่ใช้เหมือน
ๆ กันอยู่ เช่น F
หมายถึง
Flow
หรืออัตราการไหล
L
หมายถึง
Level
หรือระดับ
P
หมายถึง
Pressure
หรือความดัน
T
หมายถึง
Temperature
หรืออุณหภูมิ
DP
หมายถึง
Differential
Pressure หรือความดันแตกต่างระหว่างสองตำแหน่ง
นอกจากจะมีการระบุว่าเป็นอุปกรณ์วัดอะไรแล้ว
ยังมักจะมีการระบุรูปแบบหรือหน้าที่ของอุปกรณ์ตัวนั้นด้วย
เช่น G
หมายถึง
Gauge
คือต้องไปอ่านค่าตัวเลขที่ตัวอุปกรณ์
ณ ตำแหน่งที่ติดตั้งอยู่
I
หมายถึง
Indicator
ที่มีการส่งผลการวัดนั้นมายังห้องควบคุม
(control
room) ที่อาจทำเพียงแค่แสดงค่าเป็นตัวเลขให้เห็น
R
หมายถึง
Recorder
คือมีการบันทึกค่าที่วัดได้เอาไว้
C
หมายถึง
Controller
คือนำค่าที่วัดได้นั้นไปใช้ในการควบคุม
ตัวอย่างเช่นอุปกรณ์ที่มีคำนำหน้าว่า
TRC
ก็จะหมายถึงอุปกรณ์วัดอุณหภูมิที่มีการบันทึกค่าที่วัดได้เก็บเอาไว้
และนำค่าที่วัดได้นั้นไปใช้ในการควบคุมอุณหภูมิ
(ที่อาจทำด้วยการปรับอัตราการไหลของไอน้ำให้ความร้อนหรือสารหล่อเย็นหรือปริมาณกระแสไฟฟ้าที่จ่ายให้กับขดลวดความร้อน
เป็นต้น)
PRC ก็จะหมายถึงอุปกรณ์วัดความดันที่มีการบันทึกค่าที่วัดได้เก็บเอาไว้
และนำค่าที่วัดได้นั้นไปใช้ในการควบคุมความดัน
(ที่อาจทำด้วยการเปิด-ปิดวาล์วระบายความดัน
ปรับแต่งระดับการให้ความร้อนและ/หรือการระบายความร้อน
เป็นต้น)
ตัวอย่างเช่นกรณีของ
TRC-4
ในรูปที่
๑ ข้างล่าง (ในกรอบสี่เหลี่ยมสีเขียวเล็ก)
หมายความว่ามีอุปกรณ์วัดตัวนี้ทำหน้าที่วัดอุณหภูมิ
มีการเก็บบันทึกค่าที่วัดได้
และทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของวาล์ว
Valve
1 (กรอบสีเขียวใหญ่)
และ
Valve
2 (ในที่นี้วาล์วทั้งสองตัวเป็นการควบคุมทิศทางการไหล
ไม่ได้ควบคุมอัตราการไหล)
อุบัติเหตุการระเบิดที่เกิดที่โรงแยกแก๊ส
Esso
Longford ในประเทศออสเตรเลียเมื่อหลังเที่ยงของวันศุกร์ที่
๒๕ กันยายน พ.ศ.
๒๕๔๑
นั้น เกิดจากความผิดพลาดที่สะสมต่อเนื่องหลาย
ๆ อย่างที่นำไปสู่การตัดสินใจที่ผิด
แต่ในวันนี้จะขอยกมาเฉพาะเหตุการณ์สุดท้ายก่อนการระเบิด
นั่นคือความสับสันในการเรียกชื่ออุปกรณ์
รูปที่
๑ TRC-4
ควบคุมการทำงานของวาล์ว
Valve
1
ว่าจะให้เปิดเส้นทางลัดให้ของเหลวร้อนไหลโดยไม่ต้องไหลผ่านเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน
GP-905
(แต่ไม่ได้ปิดกั้นเส้นทางการไหลนี้)
และวาล์ว
Valve
2 ว่าจะให้ของเหลวไหลผ่านทางเครื่องแลกเปลี่นความร้อน
GP-922
หรือไม่
ในรูปแบบนี้เป็นกรณีที่
TRC-4
สั่งให้วาล์ว
Valve
1 ปิด
ดังนั้นของเหลวที่ไหลนั้นจะไหลเข้าเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน
GP-905
ก่อนตรงไปยังปั๊ม
GP-1201
เรื่องที่นำมาเล่าในที่นี้นำมาจากรายงานการสอบสวนสาธารณะ
(ที่เรียกว่า
Public
Inquiry) ที่จัดทำขึ้นภายหลังการเกิดเหตุ
เพื่อหาสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุดังกล่าว
โดยเป็นเนื้อหาใน Chapter
5 Technical Analysis
ที่เกิดเหตุการณ์ความเข้าใจที่ไม่ตรงกันในการสื่อสาร
ทำให้มีการเปิดวาล์วผิดตัว
(ซึ่งถ้าหากเปิดถูกตัวก็อาจเป็นไปได้ว่าจะไม่เกิดอุบัติเหตุได้)
ความผิดพลาดเริ่มต้นเป็นยังไงนั้นขอละไว้ไม่กล่าวในที่นี้
เอาเป็นว่าความผิดพลาดที่สะสมมาส่งผลให้เครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนชนิด
shell
and tube ทั้ง
GP-922
และ
GP-905
(ที่ช่วงอุณหภูมิทำงานปรกติของ
GP-905
อยู่ระหว่าง
60-230ºC
มีอุณหภูมิเย็นจนถึง
-48ºC
ทั้ง
ๆ ที่ในสภาพการทำงานปรกติ
ของเหลวที่มีอุณหภูมิต่ำสุดในระบบมีอุณหภูมิต่ำเพียงแต่
-20ºC
ส่วนที่ว่ามันเย็นตัวได้ต่ำกว่านั้นเกิดจากอะไรนั้น
ถ้ามีเวลาจะมาเล่าให้ฟังอีกที)
ทำให้เนื้อโลหะนั้นเปลี่ยนสภาพจากมีความเหนียวเป็นแข็งและเปราะ
นอกจากนี้ยังมีน้ำแข็งเกาะอยู่รอบ
ๆ
ท่อและตัวเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนในส่วนที่ไม่ได้มีการหุ้มฉนวนเอาไว้
และทำให้เกิดการรั่วไหลที่เครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน
GP-922
ความพยายามที่จะปิดการรั่วที่
GP-922
ด้วยการขันนอตให้ตึงขึ้นนั้นไม่ประสบความสำเร็จ
จึงมีการคิดแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วยการทำให้
GP-922
อุ่นขึ้นโดยให้ของเหลวร้อน
(ในที่นี้คือ
lean
oil ที่ใช้ในการดูดซับแก๊สไฮโดรคาร์บอน
C2-C4)
ไหลผ่านส่วน
shell
ของ
GP-922
(คือคาดหวังให้เมื่อโลหะขยายตัวด้วยอุณหภูมิสูงขึ้น
มันจะปิดรูรั่วได้เอง)
แต่เส้นทางการไหลของ
lean
oil นั้นถูกควบคุมเอาไว้ด้วย
"TRC-4"
ที่ควบคุมวาล์ว
Valve
2 ที่เป็นตัวกำหนดทิศทางการไหลว่าว่าจะให้
lean
oil ไหลเข้า
GP-922
หรือไม่
และวาล์ว Valve
1 ที่เป็นตัวเปิด-ปิดเส้นทาง
bypass
GP-905 (ดูรูปที่
๑ และ ๒)
รูปที่
๒ เส้นทางการไหลที่ประสงค์จะให้ของเหลวร้อนไหลคือเปิดวาล์ว
Valve
1 เพื่อให้ของเหลวร้อนส่วนใหญ่นั้นไม่ไหลเข้าเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน
GP-905
(แต่ไม่ได้ปิดกั้นเส้นทางการไหลผ่านเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน
GP-905
ทั้งหมด
เพราะไม่มีวาล์วปิดกั้นเส้นทางการไหลดังกล่าว)
ในหัวข้อ
GP905
Failure
เนื่องจากพนักงานแต่ละคนมีเครื่องรับส่งวิทยุ
และมีการบันทึกเวลาและการสนทนาทางวิทยุเมื่อมีการสื่อสาร
ทำให้ทางคณะผู้สอบสวนสามารถติดตามได้ว่ามีการสั่งการอย่างไรบ้าง
ในการที่จะให้ lean
oil ไหลเข้า
GP-922
นั้นจำเป็นต้องมีการเริ่มต้นเดินเครื่องปั๊ม
GP-1201
(ไม่ได้ปรากฏในรูปที่
๑ และ ๒)
ในการนี้จำเป็นต้องเปลี่ยนตำแหน่งวาล์ว
Valve
2 ให้
lean
oil ไหลเข้า
GP-922
(จากเดิมที่ไม่ไหลเข้า)
และเปิดวาล์ว
Valve
1 เพื่อให้
lean
oil ไหลเลี่ยง
GP-905
(จากเดิมที่ปิดอยู่
และทำให้ lean
oil ทั้งหมดต้องไหลผ่าน
GP-905)
ในการนี้พนักงานที่ปฏิบัติงานอยู่หน้างานติดต่อพนักงานที่อยู่ในห้องควบคุม
ให้ทำการปิดตัวควบคุม "TRC-4"
(ซึ่งจะส่งผลให้วาล์ว
Valve
1 เปิด)
แต่พนักงานที่อยู่ในห้องควบคุมได้ยินเป็น
"PRC-4"
(เป็นวงจรควบคุมความดันของ
flash
tank ที่อยู่อีกที่หนึ่งของกระบวนการ
-
รูปที่
๓)
แต่ไม่เห็นว่ามีสัญญาณขาออก
จึงได้วิทยุตอบกลับไปยังพนักงานที่ปฏิบัติงานอยู่หน้างานว่า
"PRC-4"
ไม่มีสัญญาณขาออก
แต่พนักงานที่ปฏิบัติงานอยู่หน้างานกลับได้ยินว่า
"TRC-4"
ไม่มีสัญญาณขาออก
(คือวงจรควบคุมถูกปิดแล้ว)
ตรงนี้ขอขยายความนิดนึง
โดยปรกติตำแหน่งวาล์วควบคุมนั้นจะมีการกำหนดเอาไว้ว่า
ถ้าหากไม่มีสัญญาณควบคุม
จะให้วาล์วควบคุมนั้นไปอยู่ที่ตำแหน่งที่ปลอดภัย
(fail
safe condition) ที่อาจเป็นตำแหน่งเปิด
(failure
opne) หรือตำแหน่งปิด
(failure
close) ในกรณีที่สัญญาณควบคุมสั่งให้วาล์วปิด
ถ้าปิดสัญญาณควบคุมวาล์วนั้นก็จะเปิด
ในทางกลับกันถ้าสัญญาณควบคุมเป็นตัวสั่งให้วาล์วเปิด
ถ้าปิดสัญญาณควบคุมนั้นวาล์วก็จะปิด
แต่ในกรณีของเหตุการณ์นี้มันมีความซับซ้อนอีกเรื่องหนึ่งเข้ามาคือความสัมพันธ์ระหว่างสัญญาณขาออก
(output)
ของ
TRC-4
กับตำแหน่งวาล์ว
Valve
1 นั้นขึ้นอยู่กับโหมดการทำงาน
กล่าวคือถ้าโหมดการทำงานเป็น
Demethaniser
ที่สัญญาณขาออกของ
TRC-4
เป็น
100%
นั้น
วาล์ว Valve
1 จะอยู่ในตำแหน่ง
"ปิด"
แต่ถ้าโหมดการทำงานเป็น
De-ethaniser
ที่สัญญาณขาออกของ
TRC-4
เป็น
100%
นั้น
วาล์ว Valve
1 จะอยู่ในตำแหน่ง
"เปิด"
ก่อนการระเบิดนั้น
พนักงานที่ปฏิบัติงานอยู่หน้างานได้ขอให้เปิด
"TRC-4"
เป็น
100%
(ในขณะเดียวกันก็มีการเปลี่ยนโหมดการทำงานจาก
Demethaniser
ไปเป็นโหมด
de-ethaniser
เพื่อให้วาล์ว
Valve
1 เปิด)
แต่ดูเหมือนว่าพนักงานที่อยู่ในห้องควบคุมนั้นไปเปิด
"PRC-4"
เป็น
100%
แทน
รูปที่
๓ PRC-4
ในกรอบสีแดง
เป็นวงจรควบคุมความดันของ
flash
tank ที่ไม่เกี่ยวอะไรกับ
GP-922
และ
GP-905
สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนั้นคือ
วาล์ว Valve
1 ยังคงอยู่ในตำแหน่ง
"ปิด"
ทำให้เส้นทางการไหลของ
lean
oil นั้นต้องไหลผ่านเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน
GP-905
เมื่อเริ่มต้นเดินเครื่องปั๊ม
GP-1201
ในช่วงแรกนั้นของเหลวที่เย็นที่ค้างอยู่ในระบบถูกดูดออกไป
พอ lean
oil ที่ร้อนเดินทางมาถึงก็เลยทำให้ส่วน
Shell
นั้นมีอุณหภูมิสูงขึ้น
เกิดการขยายตัว ทำให้เกิด
thermal
stress กับ
cover
ของส่วน
tube
ที่ยังคงเย็นจัดอยู่
ส่วน cover
ก็เลยแตกหักออก
เกิดการรั่วไหลของสารไวไฟตามด้วยการระเบิดและเพลิงไหม้ตามมา
ในการสอบสวนนั้น
พนักงานที่ปฏิบัติงานอยู่หน้างานให้การว่าเป็นวาล์ว
Valve
1 มีการขยับตัวว่ากำลังเปิดอยู่
แต่ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจึงตามที่มีการให้ปากคำ
ปริมาณ lean
oil ที่ไหลผ่านเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน
GP-905
จะต้องลดต่ำลง
ดังนั้นโอกาสที่ GP-905
จะร้อนขึ้นอยู่รวดเร็วจนทำให้เกิด
thermal
stress ที่นำไปสู่ความเสียหายได้นั้นควรที่จะลดลง
(ที่ขีดเส้นใต้สีแดงในรูปที่
๔ ข้างล่าง)
อันที่จริงถ้าพิจารณาดูความสูงของเส้นทางการไหลของ
lean
oil ช่วงเข้าและออก
GP-905
นั้นจะเห็นว่าเส้นทางผ่าน
Valve
1 ของ
TRC-4
นั้นมีการยกระดับขึ้นไปก่อนที่จะลดระดับลงมาอีกครั้งก่อนจะมาบรรจบกับท่อด้านขาออกของ
GP-905
ในขณะที่เส้นทางไหลผ่าน
GP-905
นั้นเป็นการไหลในทิศทางลงล่างเพียงอย่างเดียว
ดังนั้นการเปิดวาล์ว Valve
1 จึงเป็นเพียงแค่การลดอัตราการไหลผ่าน
GP-905
เท่านั้นเอง
วันนี้ก็คงขอจบเพียงแค่นี้
กลับมาอีกทีก็คงหลังสงกรานต์
รูปที่
๔
คำให้การของพนักงานผู้ปฏิบัติงานอยู่หน้างานกับความเห็นของคณะกรรมการสอบสวน
รูปที่
๕ แผนผังเส้นทางการไหลของ
lean
oil จะเห็นว่าเส้นทางผ่าน
Valve
1 ของ
TRC-4
นั้นมีการยกระดับขึ้นไปก่อนที่จะลดระดับลงมาอีกครั้งก่อนจะมาบรรจบกับท่อด้านขาออกของ
GP-905
ในขณะที่เส้นทางไหลผ่าน
GP-905
นั้นเป็นการไหลในทิศทางลงล่างเพียงอย่างเดียว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น