วันพุธที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2553

ทำอย่างไรดีเมื่อหัวหน้าชอบเลิกงานดึก MO Memoir : Wednesday 28 April 2553

เมื่อเช้าวันวาน มีวิศวกรหญิง (สาวสวยผมยาวหุ่นผอม) ที่จบการศึกษาไปเมื่อปีเศษ ปัจจุบันทำงานอยู่กับบริษัทแห่งหนึ่งแวะมาทักทาย ก็เลยได้พูดคุยกันเรื่องชีวิตการทำงานในบริษัท และปัญหาหนึ่งที่พนักงานบริษัทสมัยนี้มักประสบกันเป็นประจำคือ เลิกงานดึก ประชุมตอนเย็นหรือในวันหยุด และต้องมาทำงานในวันหยุดด้วย ที่สำคัญคือไม่มีการจ่ายค่าล่วงเวลา

ผมเล่าให้เขาฟังว่า ในมุมมองของผม พฤติกรรมแบบนี้มันเป็นเหมือนพฤติกรรมของทหารญี่ปุ่นสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ที่ใคร ๆ ก็ได้รับการบอกกล่าวกันว่า "ยอมตายในสนามรบเพื่อองค์จักรพรรดิดีกว่าการยอมแพ้หรือถูกจับเป็นเชลย" แต่เอาเข้าจริง ๆ จากบันทึกของทหารญี่ปุ่นระดับล่าง (ที่ต้องออกสนามรบจริง ไม่ใช่นั่งสั่งการอยู่ในที่กำบัง) ทุกคนที่ถูกสั่งให้ลุยออกไปหาข้าศึกนั้นต่างก็ไม่อยากตายกันทั้งนั้น ต่างคนต่างอยู่ด้วยความกลัวและหวาดระแวงว่าถ้าหากโต้แย้งคำสั่งก็จะกลายเป็นแกะดำและถูกลงโทษ หรือถ้ายอมแพ้และถูกจับก็จะทำให้เสื่อมเสียแก่วงศ์ตระกูล ถูกดูถูกเหยียดหยามจากคนที่อยู่แนวหลัง (ที่อยู่อย่างปลอดภัยจากสนามรบจริง)

สภาพการทำงานของพนักงานในบริษัทปัจจุบันก็มักเป็นเช่นนี้ กล่าวคือต้องอุทิศชีวิตตนเองเพื่อให้ "ผู้ถือหุ้น" บริษัทนั้นได้รับผลประโยชน์สูงสุด ทุกคนอยู่ด้วยความหวาดระแวง ถ้าถามแต่ละคนว่าชอบไหมที่ต้องเลิกงานดึก ไม่มีเวลาให้กับตัวเองหรือครอบครัว ก็มักจะได้รับคำตอบว่าไม่ชอบ แต่ถ้าถามต่อไปว่าแล้วทำไมไม่กลับบ้านเร็ว ๆ ล่ะ ก็จะได้รับคำตอบว่าก็คนอื่นเขายังไม่กลับ พูดง่าย ๆ ว่าไม่มีใครกล้ากลับบ้านก่อนเป็นคนแรก แต่ถ้ามีใครเป็นผู้นำก็จะมีคนอื่นทำตามเป็นพรวนทันที (พฤติกรรมเช่นนี้เห็นเป็นประจำตอนรถติดไฟแดง จะมีพวกที่ชอบแซงวิ่งย้อนเลนรถสวนและมาปาดหน้ารถที่จอดต่อแถวอยู่ ถ้ามีใครทำเช่นนี้สักคนก็จะมีคนทำตามทันที) แต่บุคคลที่ทุกคนในที่ทำงานจะรอให้กลับก่อนเสมอคือหัวหน้างาน

อันนี้ก็เป็นเรื่องแปลก คือลูกน้องไม่กล้ากลับบ้านก่อนหัวหน้างาน กลัวจะโดยหัวหน้างานเล่นงานว่าไม่ทุ่มเทให้กับงาน ส่วนหัวหน้างานเองก็ไม่กล้ากลับบ้านก่อนลูกน้อง คงกลัวลูกน้องวางยาหรือเอาไปนินทากับผู้บริหารระดับสูงขึ้นไปว่าหัวหน้าคนนี้ขี้เกียจ มันก็เลยเหมือนกับการคุมเชิงกันระหว่างลูกน้องกับหัวหน้างาน

ผมเคยเห็นคนที่ประสบความสำเร็จในตำแหน่งหน้าที่การงาน ทำงาน ๖ วันต่อสัปดาห์ (ทั้ง ๆ ที่เขาจ้างทำงานแค่ ๕ วัน) มาถึงที่ทำงาน ๗ โมงเช้า เลิกงาน ๑ ทุ่ม (ทั้ง ๆ ที่เวลาทำงานจริงคือ ๘ โมงเช้าถึง ๔ โมงเย็น) ทำอย่างนี้เป็นประจำจนกระทั่งบิดาป่วยต้องเข้าโรงพยาบาล ตอนนั้นเขาก็เที่ยวมาเดินบอกใครต่อใครว่าถ้าคุณพ่อคุณแม่ใครยังมีชีวิตอยู่ก็ดูแลท่านด้วยนะ ดูเหมือนว่าบิดาของเขาป่วยอยู่ได้ไม่ถึงสองสัปดาห์ก็ถึงแก่กรรม จากวันนั้นเขาก็ไม่มาทำงานแต่เช้า ถึงเวลาเลิกงานก็กลับบ้านทันที วันเสาร์ก็ไม่มาทำงานอีกเลย เพื่อที่จะได้อยู่กับมารดาซึ่งก็มีอายุมากแล้วเหมือนกัน แต่พอผ่านงานเผาศพบิดา มารดาก็ป่วยต่ออีก อยู่โรงบาลได้ไม่กี่เดือนก็ถึงแก่กรรม

พอหมดบิดา-มารดาแล้ว ปรากฏว่าแกทำงานหนักกว่าเดิมอีก จนลูกน้องพูดกันว่า แกไม่รู้หรือไงว่าแกยังมีลูกและเมียอยู่อีกนะ


แต่ก่อนคนทำงานบริษัทมักต้องทุ่มเทชีวิตให้กับงานจนไม่มีเวลาให้ลูก แต่ปัจจุบันดูเหมือนจะหนักกว่าเดิมอีกเพราะต้องทุ่มเทชีวิตให้กับงานจนไม่มีเวลาที่จะมีครอบครัวได้ ได้ยินมาหลายรายแล้วที่ต้องเลือกเอาระหว่างจะแต่งงานหรือจะทำงาน แต่งงานแล้วแต่ไม่มีลูกเพราะกลัวว่าจะทำงานได้ไม่เต็มที่ หรือประเภทบริษัทมีระเบียบให้พนักงานลาคลอดได้ ๓ เดือน (เพื่อให้ดูดี) แต่เอาเข้าจริงก็ลาได้เพียงแค่ ๒ สัปดาห์หรือ ๑ เดือนเท่านั้น เพราะก่อนลาก็จะมีการพูดในทำนองว่าจะลาเต็มที่ก็ได้ แต่อย่าให้งานเสียหาย หรือไม่ก็จะมีการบอกว่าถ้าหายไปนานก็จะหาคนอื่นมาทำงานแทน


สาเหตุหนึ่งพบว่าทำให้หัวหน้างานนั้นชอบอยู่ในที่ทำงาน (ไม่ยอมกลับบ้าน) ก็คือยังเป็นโสด หรือแต่งงานแล้วแต่ยังไม่มีลูก รายที่เขามานั่งคุยกับผมเมื่อวานก็เจอปัญหานี้คือ หัวหน้างานของเขาเป็นผู้ชายที่แต่งงานแล้วแต่ยังไม่มีลูก ชอบเรียกประชุมตอน ๖ โมงเย็น สั่งงานให้ทำตอนค่ำ ๆ แล้วบอกว่าจะเอาพรุ่งนี้ ๘ โมงเช้า

จากข้อมูลที่ได้รับ ผมก็เลยเสนอแผนการ (ซึ่งน่าจะเป็นแผนการที่ "ชั่วร้าย") ในการทำให้หัวหน้างานเขารีบกลับบ้านเมื่อถึงเวลาเลิกงาน โดยแผนการที่นำเสนอต้องสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่ทำให้หัวหน้างานคนนั้น


(ก) ถูกบังคับให้ต้องกลับเมื่อถึงเวลาเลิกงาน หรือ

(ข) รู้สึกอยากกลับทันทีเมื่อถึงเวลาเลิกงาน


การทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวมีหลักการที่สำคัญคือ "ทำให้เกิดความหวาดระแวงในครอบครัว" หรือพูดง่าย ๆ คือหาเรื่องให้ครอบครัวเขาแตกแยกกัน ซึ่งบอกอย่างนี้บางคนอาจคิดว่าเป็นการกระทำที่ผิดศีลธรรม แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่งคือจากมุมของลูกน้อง การที่หัวหน้างานใช้งานลูกน้องอย่างหนักจนไม่มีเวลาให้กับตัวเองหรือครอบครัวก็เป็นการทำให้ครอบครัวของลูกน้องคนนั้นแตกแยกเช่นเดียวกัน และควรถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดศีลธรรมเช่นเดียวกัน (ไม่เคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น เห็นเขาเป็นทาส ตายไปก็จ้างคนใหม่มาแทน) ถ้าหัวหน้างานทำอย่างนี้กับลูกน้องก่อนได้ แล้วทำไมลูกน้องจะทำอย่างเดียวกันกับหัวหน้างานบ้างไม่ได้ ทำนองหนามยอกก็ต้องเอาหนามบ่ง

แผนการเหล่านี้ผมได้ตัวอย่างมาจากละครโทรทัศน์ที่ฉายอยู่ในบ้านเรา ดังนั้นผมจึงไม่สามารถสงวนลิขสิทธิ์แผนการต่าง ๆ เหล่านี้ได้ ทุกคนที่อ่านบันทึกนี้สามารถนำไปใช้ได้ แต่ถ้าไม่ได้ผลก็อย่ามาโทษกัน

ทีนี้ลองมาดูว่าจะมีวิธีการอย่างไรบ้างเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ ๒ ข้อที่กล่าวมาข้างต้น


การทำให้หัวหน้างาน (ซึ่งในที่นี้เป็นผู้ชาย) ถูกบังคับให้ต้องกลับเมื่อถึงเวลาเลิกงาน ก็ต้องหาทางสร้างความหวาดระแวงให้กับคู่สมรส (ภรรยา) ของหัวหน้างาน (คงเดาได้แล้วใช่ไหมว่าจะให้หวาดระแวงเรื่องใด) ด้วยการปล่อยข่าวซึ่งอาจเป็นข้อความหรือรูปภาพ (จากผู้ปราถนาดี) ในทำนองที่ทำให้คู่สมรสของหัวหน้างานนั้นคิดว่า

- กินข้าวเย็นกับลูกน้อง (สาว ๆ น่ารัก) นั้นมันอร่อยกว่ากลับไปกินกับภรรยาที่บ้าน

- ชอบใช้งานลูกน้อง (สาว ๆ) คนใดคนหนึ่งเป็นพิเศษ เพื่อให้ลูกน้องคนนั้นกลับบ้านดึกโดยมีหัวหน้างานนั่งเฝ้า (ถ้าจะให้ดีก็ต้องย้ำด้วยว่าดูเหมือนลูกน้องคนนั้นจะชอบซะด้วย)

- ชอบเรียกลูกน้อง (สาวสวย) ไปสั่งงานเป็นการพิเศษสองต่อสองเป็นประจำ

- เวลามีประชุมในวันหยุดหรือสัมมนาต่างจังหวัดที่ไร เหตุที่ไม่ได้พาภรรยาไปก็เพราะมีลูกน้องรู้ใจไปด้วยแล้ว

- เวลาที่พบกับภรรยาเขาก็แกล้งพูดว่า "แฟนพี่นี้น่ารักจังเลย เห็นชอบซื้อโน่นซื้อนี่เอาไปฝากพี่เป็นประจำ" ซึ่งจริง ๆ แล้วอาจไม่ได้มีการซื้ออะไรเลย แต่ก็ทำให้คนฟัง (ซึ่งไม่เห็นจะได้ของอะไรสักอย่าง) เชื่อก่อนว่าแฟนเขาคงมีการซื้อของจริง แต่ของนั้นไม่ได้เอาไปให้ ซึ่งจะทำให้เขาสงสัยว่ามีการซื้อของไปฝากคนคนอื่นเป็นประจำ

- หรือไม่ก็ เวลาที่พบกับภรรยาเขาก็แกล้งพูดว่า "แฟนพี่นี้น่ารักจังเลย พอถึงเวลาเลิกงานปุ๊บก็รีบกลับทันที ท่าทางจะคิดถึงพี่มาก" (วัตถุประสงค์ก็คือให้ข้อมูลว่าตอนเย็นไม่ได้อยู่ที่ทำงาน แต่ทำไมกว่าจะกลับถึงบ้านมันดึกจังเลย)

- หรือไม่ก็ เวลาที่พบกับภรรยาเขาก็แกล้งพูดว่า "แฟนพี่นี้ห่วงใยสุขภาพจังเลย พอถึงเวลาเลิกงานปุ๊บก็รีบไปซาวน่า (กลางคืน) ต่อทันที" (ถ้าไม่เข้าใจว่าซาวน่ากลางคืนสำหรับผู้ชายเป็นอย่างไร ก็ลองเอาคำนี้ค้นหาใน google ดู)

- แอบถ่ายรูปด้วยกล้องโทรศัพท์ เลือกมุมภาพที่ทำให้เข้าใจผิดได้ง่าย (เห็นหน้าผู้ชายชัดแต่เห็นหน้าผู้หญิงไม่ชัด) และเปิดเบอร์ใหม่ ส่งภาพไปให้อีกฝ่ายดูโดยใช้เบอร์ที่เปิดใหม่ โดยบอกว่ามาจากผู้หวังดี

- ทำแบบเดียวกับการส่งรูปภาพ แต่เป็นการส่ง SMS แทน

- ที่เหลือก็คิดต่อเอาเองก็แล้วกัน


ส่วนการทำให้เขารู้สึกอยากกลับบ้านทันทีที่เลิกงานนั้นคงทำได้ยากกว่า (เพราะเรามักไม่รู้จักคู่สมรสของเขาและไม่มีโอกาสจะได้เจอบ่อยครั้งนัก) แต่โดยหลักการก็คือทำให้หัวหน้างานคิดว่าเมื่อเลิกงานแล้วเขายังไม่กลับบ้าน คู่สมรสของเขาก็ไม่ได้อยู่ที่บ้านเหมือนกัน หรือไม่ก็อยู่ที่บ้านแต่ก็มีคนอื่น (ใครก็ไม่รู้) อยู่ที่บ้านด้วย

หรือถ้าเขามีลูกเพิ่งจะเกิดก็คงต้องมีการชมกันว่าเด็กหน้าเหมือนแม่แต่ไม่ค่อยจะคล้าย "พ่อ" เท่าใดนัก (คำว่า "พ่อ" ในประโยคนี้คือสามีของแม่) หรือถ้าเขากำลังอยากมีลูกหรือภรรยาเขากำลังตั้งท้องอยู่ก็คงต้องมีการปล่อยข่าวหรือพูดเปรย ๆ ว่า "เด็กที่จะเกิดนั้นรับรองว่าหน้าตาต้องมีส่วนเหมือน "พ่อ" แน่ ๆ แต่จะมีส่วนเหมือน "สามี" ของแม่หรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง"


แต่ไม่ว่าจะใช้วิธีการไหนก็ควรทำให้แนบเนียนหน่อยนะ ส่วนจะได้ผลหรือไม่ได้ผลผมตอบไม่ได้ เสี่ยงดวงเอาเองก็แล้วกัน

ไม่มีความคิดเห็น: