วันศุกร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2557

ขอขอบคุณสำหรับครึ่งล้านการเยี่ยมชม (ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๗๙) MO Memoir 2557 Sep 5 Fri

ผมเริ่มเขียนบันทึกที่ตั้งชื่อขึ้นมาว่า MO Memoir ตั้งแต่วันพุธที่ ๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ ตอนนั้นก็มีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อบันทึกสิ่งที่สอนนิสิตปริญญาโทในการเรียนและการทำการทดลอง เนื่องด้วยเห็นว่าหลายต่อหลายเรื่องนั้นมันเป็นเรื่องเกิดขึ้นซ้ำเดิม ดังนั้นแทนที่จะมานั่งคอยอธิบายให้นิสิตแต่ละรุ่นรับทราบถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา แถมเหตุการณ์บางเหตุการณ์นั้นมันไม่เกิดขึ้นบ่อย บางทีมันก็ทิ้งห่างกันหลายปี ก็เลยคิดว่าเขียนเป็นบันทึกไว้แล้วให้เขาไปอ่านกันเองดีกว่า (ซึ่งก็พบว่าพวกเขาก็มักไม่อ่านอยู่ดี)
  
แต่พอเขียนไปได้ ๑๐๐ ฉบับ ก็พบว่าการค้นข้อมูลย้อนหลังมันเริ่มวุ่น ก็เลยเกิดแนวความคิดว่าทำไมไม่เอามาไว้บนหน้าเว็บ จะได้ค้นหาง่ายหน่อย ก็เลยเริ่มทยอยนำบทความต่าง ๆ ที่เขียนไว้มาลงอินเทอร์เน็ตในรูปของ blog (ที่เลือกทำ blog เพราะเห็นว่ามันทำง่ายกว่าทำหน้าเว็บเพจ) โดยเริ่มเขียน blog ในวันแรกคือวันศุกร์ที่ ๑๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๓

ชื่อ "ทามาก็อตซิล่า" หรือ "tamagozzilla" ที่เอามาทำเป็นชื่อ blog ก็เป็นฉายาที่ใช้เรียกลูกสาวตอนที่ยังเป็นเด็กเล็ก เพราะเห็นเด็ก ๆ เล็กที่กำลังเจริญเติบโตนั้นมีความน่ารักแบบ "ทามาก็อตจิ" ที่เป็นสัตว์เลี้ยงอิเล็กทรอนิกส์ที่เคยเป็นที่นิยมกันในสมัยหนึ่ง ที่ผู้เล่นต้องคอยดูแลเอาใจใส่มัน โดยที่มันเองนั้นก็ไม่สนด้วยว่าตอนนั้นเป็นเวลากี่โมง ซึ่งก็เห็นว่าเป็นพฤติกรรมที่เหมือนกับเด็กเล็ก ๆ ที่แสดงอาการออกมาตามความต้องการตามธรรมชาติของร่างกาย โดยไม่สนด้วยว่าจะเป็นเวลากี่โมงกี่ยาม แถมพอโตขึ้นก็ยังเรียนรู้ด้วยแบบที่ต้องมีการ "ทำข้าวของเสียหาย" บ้าง เปรียบเสมือนกับก็อตซิล่าที่ออกมาอาละวาดพังบ้านเมือง แต่ก็ยังมีความน่ารักอยู่ในตัวที่ทำให้มีแฟน ๆ หนังสัตว์ประหลาดญี่ปุ่นติดใจ แถมยังข้ามทะเลไปอาละวาดทำเงินต่อยังอีกฟากทวีปหนึ่งอีก

ตอนเริ่มแรกที่เขียน blog นั้นก็บอกแต่ให้นิสิตในที่ปรึกษาทราบว่า Memoir ก่อนหน้านั้นถ้าไม่อยากอ่านในแฟ้มที่จัดให้ก็ไปอ่านย้อนหลังได้ใน blog ดังกล่าวได้ ด้วยความที่อยากรู้ว่าจะมีคนอื่นนอกจากนิสิตตัวเองมาอ่านบ้างหรือเปล่าก็เลยไปหา counter นับครั้งการเยี่ยมชมชนิดแจกฟรีมาติดตั้ง แต่มักพบว่าไม่ว่าจะเป็นของแจกฟรีเจ้าใดมันก็มักจะรวนเป็นประจำ คือเดี๋ยวทำงานบ้าง เดี๋ยวก็ไม่ทำงานบ้าง แต่ก็ต้องทนใช้ไปเพราะในขณะนั้นทาง blogspot ยังไม่มีฟังก์ชันการนับจำวนครั้งการเยี่ยมชมให้ติดตั้งใน blog จนกระทั่งทาง blogspot เองมี counter ให้ติดตั้ง ก็เลยมีการเริ่มต้นนับ ๑ การเข้าเยี่ยมชมใหม่โดยใช้ counter ของทาง blogspot โดยเริ่มในวันเสาร์ที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยในช่วงเวลาสามเดือนครึ่งตั้งแต่เริ่มเขียน blog นั้น (๑๕ มกราคม ๒๕๕๓) ก็มีผู้แวะเข้ามาเยี่ยมชมแล้วประมาณ ๖,๐๐๐ ครั้งหรือเฉลี่ยประมาณ ๕๐ ครั้งต่อวัน

มาวันนี้ Memoir ฉบับนี้ก็เป็นฉบับที่ ๘๕๒ แล้ว (แต่บน blog จะมีเพียง ๘๔๒ ฉบับ คือมี ๑๐ ฉบับแรก ๆ ที่ไม่ได้นำมาไว้บน blog) พร้อมกับจำนวนครั้งการเยี่ยมชมที่เกินกว่า ๕๐๐,๐๐๐ ครั้งเมื่อนับจากวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๓ โดยมีจำนวนครั้งการเยี่ยมชมเฉลี่ยอยู่ในช่วง ๑๕,๐๐๐ ถึง ๒๐,๐๐๐ ครั้งต่อเดือน หรือตกกว่า ๕๐๐ ครั้งต่อวัน (ช่วงเปิดเทอมจะมีคนแวะเข้ามามากเป็นพิเศษ)

Memoir ทุกฉบับที่เขียนขึ้นนั้นจะมีการจัดทำเป็นฉบับ pdf ก่อน โดยแจกจ่ายให้เฉพาะนิสิตปริญญาโทที่ผมเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา โดยจะส่งให้ทางอีเมล์ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงวันรับปริญญาของเขา (หรือเมื่อเขาพ้นจากการเป็นนิสิตในที่ปรึกษาของผม) ผู้อ่านบางรายอาจเห็นว่ามันเป็น blog ที่ไม่รู้ว่าจะเน้นไปทางไหนกันแน่ จะวิชาการ จะประวัติศาสตร์ จะการเมือง หรือจะเป็นเรื่องเล่นแบบดูแล้วไม่น่ามีสาระ ฯลฯ ซึ่งผมก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เพราะต้องการให้มันเป็นอย่างที่ขึ้นต้นไว้บน blog ก็คือมันเป็นการบันทึก ประสบการณ์ ความรู้สึกนึกคิด และความทรงจำ ของช่วงชีวิตที่ผ่านมา ด้วยต้องการสื่อให้เห็นว่าชีวิตของคนเรานั้นมันไม่ได้มีเพียงแค่งานวิชาการ มันไม่ใช่ว่าเรียนจบมาทางด้านไหนแล้ว ชีวิตที่เหลือต้องเรียนเน้นความรู้ไปเฉพาะทางด้านนั้นเท่านั้น ผมอยากให้ blog นี้เป็นเสมือนกับหนังสือพิมพ์ธรรมดาฉบับหนึ่งที่เต็มไปด้วยคอลัมน์ที่หลากหลายที่ทุกคนอ่านได้หมด โดยเลือกอ่านเฉพาะส่วนที่ตัวเองชอบ (คิดว่ามีใครสักกี่คนครับที่จะอ่านหนังสือพิมพ์ทุกคอลัมน์) ใครชอบข่าวการเมืองก็อ่านเฉพาะส่วนนั้น ใครชอบละครหรือข่าวบันเทิงก็ดึงหน้าละครและข่าวบันเทิงมาอ่าน ใครชอบกีฬาก็เปิดพลิกเข้าไปอ่านข้างในได้เลยแทนที่จะต้องเริ่มอ่านจากพาดหัวข่าวหน้าแรก
  
เคยมีคนถามเหมือนกันครับว่าทำไมไม่พิมพ์เป็นหนังสือสักที ผมก็ตอบกลับไปว่าคิดว่าคงจะไม่มีใครซื้อ (อันที่จริงถ้ามีคนติดต่อจัดพิมพ์ให้ก็คงจะดีกว่า เพราะไม่อยากลงทุนเอง) เพราะหนังสือเล่มนี้คงจัดเข้าหมวดหมู่ไหนไม่ได้ เพราะเนื้อหาต่าง ๆ ที่เขียนจะให้เป็นวิชาการชนิดที่ใช้อ้างอิงได้ก็คงจะไม่ใช่ จะจัดเป็นหนังสือในหมวดหมู่ความรู้หรือบันเทิงก็คงไม่ได้อีกเช่นกัน นอกจากนี้ก็ยังเคยมีคนถามมาอีกว่าทำไมไม่นำเนื้อหาวิชาการในบทความไปเขียนเป็นตำราเพื่อขอตำแหน่งวิชาการให้มันสูงขึ้นไปอีก ผมก็ตอบกลับไปว่าวัตถุประสงค์ของการเขียน blog นี้ก็เพื่อต้องการให้ผู้อื่น "อ่านรู้เรื่องและเข้าใจ" ดังนั้นภาษาที่ใช้หรือตัวอย่างที่ยกมานั้นก็พยายามที่จะทำให้มันเรียบง่าย (ทำนองเหมือนกับว่าเป็นการพูดคุยกัน) ซึ่งเป็นรูปแบบการใช้ภาษาที่ยังไม่เป็นที่ยอมรับสำหรับการเขียนหนังสือตำราวิชาการที่ใช้เพื่อการขอเลื่อนตำแหน่งวิชาการ

ตอนแรกที่เริ่มเขียน blog ก็เคยนึกสงสัยอยู่เหมือนกันครับว่าจะเขียนไปได้สักกี่เรื่อง จะเขียนไปได้นานเท่าใด ซึ่งคงต้องให้เวลาเป็นตัวพิสูจน์ แต่สำหรับวันนี้คงต้องขอขอคุณทุก ๆ ท่านที่แวะเข้ามาเยี่ยมชม ไม่ว่าท่านจะอยู่ในส่วนใดของมุมโลก แม้แต่ในบางประเทศซึ่งผมก็นึกไม่ถึงว่าจะมีคนไทยไปอยู่ ตอนแรกที่เห็นก็แปลกใจ แต่เห็นมีการแวะเข้ามาเยี่ยมเยียนเป็นประจำก็เชื่อว่าคงต้องมีผู้อ่านที่เป็นคนไทยประจำอยู่ที่นั่น และถ้าขณะนี้ท่านยังอยู่ที่นั่นก็ขอให้ปลอดภัยจากเหตุการณ์ไม่สงบและความรุนแรงที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศนั้นด้วยครับ

สวัสดี

ไม่มีความคิดเห็น: