วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2557

ตัวเลขไม่ได้ผิดหรอก คุณเข้าใจนิยามไม่สมบูรณ์ต่างหาก (การทำวิทยานิพนธ์ภาคปฏิบัติ ตอนที่ ๖๗) MO Memoir : Sunday 21 September 2557


หลังจากไปเข้าร่วมประชุมที่กระทรวงพาณิชย์ในตอนเช้า ก็กลับมานั่งสัปหงกตอนเที่ยงเพื่อฟังการนำเสนองานของนิสิตปริญญาเอกรายหนึ่งในวิชาสัมมนา หลังจากที่ผู้นำเสนอเสร็จสิ้นการนำเสนอ ก็ได้เวลาเปิดโอกาสให้ซักถามคำถามต่าง ๆ จากผู้เข้าร่วมรับฟัง (ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าที่เขาถาม ๆ กันนั้นเพราะอยากรู้จริงหรือเพื่อคะแนนการมีส่วนร่วม) แต่มีคำถามหนึ่งที่เห็นมีการถกเถียงกันมากคือตัวเลขค่า ๆ หนึ่งที่ผู้นำเสนอนำมาแสดงในตาราง คือค่า "Tamman temperature"
  
แล้ว Tamman temperature คืออะไร นั่นคือคำถามจากผู้เข้ารับฟัง คำตอบที่ได้จากผู้บรรยายก็คือค่า "ครึ่งหนึ่ง" ของอุณหภูมิจุดหลอมเหลวของสารนั้น แต่พอดูตัวเลขในตารางที่เขานำมาเสนอแล้วปรากฏว่ามันไม่ใช่ ค่าที่เขานำมาแสดงนั้นมัน "น้อยกว่า" ค่าครึ่งหนึ่งของอุณหภูมิจุดหลอมเหลวของสารอยู่มาก (กว่า 100ºC) ตรงนี้ผู้บรรยายก็ชี้แจงว่าเขาก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมมันเป็นเช่นนั้น ตัวเลขเหล่านี้เขานำมาจากบทความ และเขาเองก็ไม่สามารถไปแก้ไขบทความดังกล่าวได้ ก็เลยมีการถกเถียงกันพักหนึ่ง รวมทั้งมีข้อเสนอแนะว่าตัวเลขที่นำมาแสดงนั้นอาจเป็นตัวเลขโดย "ประมาณ" ก็ได้
  
ตอนแรกก็ว่าจะนั่งฟังไปเงียบ ๆ แต่พอตอนท้ายชั่วโมงมีคนโยนมาให้ว่าให้ช่วยถามคำถามอะไรหน่อย ผมก็เลยถามกลับไปว่าข้อมูลตัวเลขในตารางที่เข้านำมาแสดง (คือค่า Tamman temperature) นั้นมันมีปัญหาอะไร (เพราะผมเห็นใครต่อใครถกเถียงกันใหญ่) ส่วนตัวผมเองนั้นไม่เห็นว่ามันมีปัญหาอะไร ตัวเลขเหล่านั้นมัน "ถูกต้อง" อยู่แล้ว
  
เท่านั้นแหละ ดูเหมือนในบรรดาผู้เข้าร่วมประชุมบางรายจะเริ่มสะกิดใจ เริ่มหยิบโทรศัพท์มาเปิดโปรแกรมเครื่องคิดเลข และคำนวณดูเลย ซึ่งดูเหมือนว่าบางรายนั้นเขาเห็นแล้วว่าที่ผมเปรยขึ้นมานั้นมันหมายถึงอะไร
  
จากหน้าเว็บของ Science Dictionary (http://thesciencedictionary.org/tammans-temperature/) ให้คำนิยามของ Tamman temperture เอาไว้ว่า "The temperature at which the mobility and reactivity of the molecules in a solid become appreciable. It is approximately half the melting point in kelvin." ซึ่งก็เป็นคำตอบเดียวกันกับที่ผู้บรรยายนั้นตอบคำถามผู้เข้าร่วมฟัง เพียงแต่ผู้บรรยายนั้นไม่ได้นำเอาคำสองคำสุดท้ายคือ "in kelvin" มากล่าวด้วย ทีนี้พอไปเอาตัวเลขในบทความที่เขาใช้อุณหภูมิในหน่วย Deg C มันก็เลยกลายเป็นว่าตัวเลขในบทความมันไม่ตรงกับคำนิยาม แต่ถ้าเปลี่ยนหน่วยตัวเลขในบทความให้กลายเป็นองศา K แล้ว จะพบว่ามันตรงกับคำนิยามทุกตัว
  
เรื่องแบบอ่านอะไรมาไม่หมด หยิบข้อความมาไม่ครบ นำมาเพียงบางส่วนแล้วไปพูดต่อ ผลที่ตามมาก็คือทำให้เกิดความเข้าใจผิดกันยกใหญ่นี่ เห็นมาหลายครั้งแล้ว พฤติกรรมนี้อาจเกิดขึ้นจากความจงใจ (เหตุการณ์ทำนองนี้มักพบเห็นกันในหมู่นักวิชาการหรือสื่อที่ต้องการใช้ข้อมูลในการสร้างข่าว) หรือด้วยความเข้าใจไม่ดีพอ พอได้เห็นสิ่งที่ตัวเองต้องการก็รีบตัดส่วนที่เหลือทิ้งทันที (เห็นบ่อยครั้งในหมู่ผู้ทำวิจัย)
  
เคยมีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นกับนิสิตที่ทำวิจัย คืออาจารย์ให้ไปอ่านบทความ แล้วเขาอ่านมาไม่ครบถ้วน แปลความหมายไม่ถูกต้อง ไม่ได้พิจารณาถึงข้อจำกัดของข้อสรุปที่ได้ (สำหรับคนที่เริ่มทำวิจัยคงพอจะรู้นะครับว่าบทความวิชาการนั้นชอบที่จะเขียนให้อ่านยาก ใช้ภาษาที่ซับซ้อน ไม่เหมือนกับที่เขาใช้ในหนังสือพิมพ์หรือวารสารภาษาอังกฤษทั่วไป คนที่เพิ่งเคยอ่านแรก ๆ รับรองได้ว่ามึนไปเหมือนกัน) พอมาเล่าให้อาจารย์ฟังว่าบทความนั้นบอกว่าทำอย่างนี้แล้วจะได้ผลดีขึ้น ก็เลยคิดว่าจะเอาสิ่งนั้นมาประยุกต์ใช้ในหัวข้อวิจัยของตัวเองที่ทำงานที่ (เขาคิดว่า) เหมือนกับบทความนั้น อาจารย์ที่ปรึกษาก็เชื่อและบอกให้ทำไปตามนั้น แต่พอนิสิตลงมือทำไปแล้วปรากฏว่าไม่ได้ผลตามที่บทความนั้นอ้างไว้ มันก็เลยเกิดเรื่องวุ่นกันเหมือนกันเพราะทั้งตัวนิสิตและอาจารย์เองไปปักใจเชื่อแล้วว่าสิ่งที่ตัวเองคิดว่าดีนั้นมันถูกต้อง เพียงแต่คงจะทำอะไรผิดพลาดในการทดลอง พอพยายามค้นหาว่าการทดลองมีอะไรผิดพลาดมันก็หาไม่เจอ (เพราะมันไม่มี) งานนี้คนรับกรรมคือนิสิต
  
โดยตัวผมเองนั้นเวลานิสิต (โดยเฉพาะผู้ที่เข้าเรียนใหม่ ๆ) ไปอ่านบทความและนำมาเสนอ ผมมักจะขอดูบทความต้นฉบับด้วย เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมานั้นพบว่าสำหรับผู้ที่เริ่มอ่านบทความวิจัยใหม่ ๆ นั้นมักจะตีความหมายและแปลความหมายผิดเป็นประจำ เพราะมักจะเขียนโดยใช้ไวยากรณ์ที่ให้อ่านยากและเต็มไปด้วยศัพท์เทคนิคต่าง ๆ ที่ไม่ปรากฏในพจนานุกรม ถ้าเห็นว่าเขาอ่านจับใจความได้ถูกต้องแล้ว จึงค่อยไม่ขอดูต้นฉบับ
  
สำหรับรายที่เกิดเรื่องนี้ ผ่านการเรียนปริญญาโทมาแล้ว และนี่ก็ไม่ใช่ปีแรกของการเรียนปริญญาเอก

ไม่มีความคิดเห็น: