ผมมองว่าชีวิตการเรียนระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยนั้นอาจเรียกได้ว่าประกอบด้วยการเรียนรู้ ๒ รูปแบบที่ดำเนินไปด้วยกัน อย่างแรกคือการเรียนตามหลักสูตรสาขาวิชาที่ตัวเองเลือกเรียน ซึ่งเป็นการเรียนในห้องเรียนหรือเป็นการเรียนนอกห้องเรียนตามข้อบังคับของหลักสูตรที่มีการกำหนดเอาไว้ล่วงหน้า ผู้ที่ผ่านการเรียนรู้ในส่วนนี้มีความสามารถในระดับไหนนั้นจะมีหลักฐานแสดงที่เรียกว่า "ใบรับรองผลการศึกษา" หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า "Transcript"
รูปแบบการเรียนรู้อย่างที่สองคือการเรียนรู้การทำงานร่วมกับผู้อื่น
ซึ่งเป็นการเรียนรู้ผ่านทางการทำกิจกรรม
ผมมักจะบอกกับนิสิตเสมอว่า
การที่ตารางสอนของพวกคุณที่มีเวลาว่างนั้นก็เพื่อเปิดโอกาสให้พวกคุณมีเวลาไปทำกิจกรรมเสริมนอกเหนือการเรียนในห้องเรียน
เป็นการฝึกการทำงานร่วมกับผู้อื่น
และเป็นสิ่งที่ควรจะต้องปฏิบัติ
แม้ว่ามันจะไม่เขียนเอาไว้ว่าเป็นข้อบังคับในหลักสูตรก็ตาม
สมัยที่ผมเรียนนั้น
ผมเห็นว่ากิจกรรมเป็นสิ่งที่ช่วยเปิดโลกให้กว้างออกไป
จากที่เคยรู้จักกันเฉพาะเพื่อนฝูงที่มาจากโรงเรียนเดียวกัน
ทำให้ได้รู้จักกับผู้อื่นที่มาจากหลากหลายส่วนของประเทศ
หลากหลายมุมมองความคิด
และพฤติกรรม
ได้เรียนรู้อะไรต่อมิอะไรหลายต่อหลายอย่างที่ไม่มีการสอนในสาขาวิชาที่ผมเลือกเรียน
สิ่งที่ได้ไปก็คือประสบการณ์ติดตัวสำหรับเอาไว้ใช้ในการทำงานเมื่อสำเร็จการศึกษา
ถ้าจะถามผมว่าตอนเรียนหนังสือนั้นเคยทำกิจกรรมอะไรบ้างก็สามารถบอกได้
แต่ถ้าตอนนี้ใครมาขอหลักฐานที่เป็นวัตถุที่จับต้องได้มายืนยันก็คงจะไม่มี
อาจเป็นเพราะว่าคนในสมัยผมนั้น
(แม้จะไม่ได้ดีพร้อมสมบูรณ์แบบกันทุกคน)
แต่ก็เติบโตขึ้นมาในสังคมที่สอนให้ระมัดระวังคำพูดและรักษาคำมั่นสัญญาที่ออกมาจากปาก
หลักฐานที่เป็นพยานวัตถุอย่างมากที่สุดที่จะมีก็คือมีรูปถ่ายปรากฏว่าได้ไปร่วมงาน
ผมเองก็มีโอกาสเป็นกรรมการสอบสัมภาษณ์ผู้สอบผ่านข้อเขียนได้เข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยมาหลายต่อหลายครั้ง
สิ่งหนึ่งที่เห็นผู้สอบผ่านจำนวนไม่น้อยมักถือติดมือมาด้วยก็คือ
"แฟ้มสะสมงาน"
หรือที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า
"Portfolio"
ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นคำแนะนำจากทางโรงเรียนให้ถือติดมือมาแสดงให้กรรมการสอบสัมภาษณ์ดู
เพราะถ้าเห็นนักเรียนโรงเรียนไหนถือติดมือมา
ก็มักถือติดมือมากันเกือบทุกราย
ในฐานะกรรมการสอบสัมภาษณ์เองนั้นก็ไม่ได้รับมอบหมายให้ไปพิจารณาผลงานทางวิชาการหรือการทำกิจกรรมในสมัยเรียนของผู้สอบผ่านข้อเขียน
เพราะการสอบผ่านข้อเขียนนั้นมันเป็นการวัดความสามารถทางวิชาการไปเรียบร้อยแล้ว
หน้าที่หลักก็คือการหาว่ามีผู้ใดบ้างที่เข้ามาเรียนแล้วอาจจะมีปัญหา
เช่น ค่าเล่าเรียน ที่พักอาศัย
สุขภาพ หรือสภาพจิตใจ
และทำหน้าที่ให้คำแนะนำในการปฏิบัติตัวของผู้สอบผ่านข้อเขียนในการเข้ามาเป็นนิสิตใหม่ของทางมหาวิทยาลัย
เวลาที่ได้พบกับนักเรียนที่ถือแฟ้มสะสมงานมาด้วย
บางรายกรรมการสอบก็ขอเปิดดู
บางรายก็ไม่ขอเปิดดู
นักเรียนบางรายที่กรรมการสอบไม่ได้ขอดูแฟ้มสะสมงานก็ถึงกับถามกรรมการสอบว่าจะไม่ช่วยพิจารณาดูแฟ้มสะสมงานของเขาหน่อยเหรอ
นักเรียนบางรายก่อนที่กรรมการสอบจะเริ่มการสัมภาษณ์
เขาก็ขอแนะนำตัวเองก่อนโดยการเปิดแฟ้มสะสมงานให้ดูว่าที่ผ่านมานั้นเขาได้ไปทำกิจกรรมอะไรมาบ้าง
มีหลักฐานอะไรบ้างมาแสดง
นักเรียนประเภทนี้พอโดนคำถามจากกรรมการถามสวนกลับไปก็เห็นอึ้งไปทุกที
คงนึกไม่ถึงว่าจะมีใครถามคำถามเช่นนั้น
คำถามนั้นก็คือ
"ถามจริง
ๆ เหอะ ถ้าไปทำแล้วไม่ได้ใบประกาศ
จะเข้าร่วมกิจกรรมไหม"
ในหลาย
ๆ ปีที่ผ่านมา
รู้สึกว่าจำนวนผู้เข้าร่วมทำกิจกรรมต่าง
ๆ ในมหาวิทยาลัยที่ผมทำงานอยู่นั้นลดน้อยลงไป
แต่ตรงนี้มีประเด็นที่ต้องพิจารณาก่อนว่าจำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรม
"ของมหาวิทยาลัย"
ที่ลดน้อยลงนั้นเกิดจากอะไร
เป็นเพราะเขาเห็นว่ามีกิจกรรมอื่นข้างนอกที่ดีและน่าสนใจกว่า
เขาก็เลยหันไปเข้าร่วมตรงนั้น
หรือเป็นเพราะเขาเห็นว่าการทำกิจกรรมไม่มีประโยชน์
เพราะสังคมภายนอกนั้น
โดยเฉพาะในการสมัครงานหลาย
ๆ แห่ง (หรือแม้แต่การศึกษาต่อก็ตาม)
นั้น
ถ้า "เกรด"
ไม่สูงพอ
ถึงจะทำกิจกรรมเก่งขนาดไหน
ก็หมดสิทธิตั้งแต่ยื่นใบสมัครแล้ว
จึงไม่แปลกที่จะเห็นว่านิสิตเห็นว่าการทำ
"เกรด"
เป็นสิ่งสำคัญกว่าสิ่งอื่นของชีวิตการเรียนในมหาวิทยาลัย
ดังนั้นหน่วยงานใดที่รับคนเข้าไปโดยดูแต่เกรดเพียงอย่างเดียว
ก็ไม่ควรบ่นนะครับว่าทำไมคนที่รับเข้าทำงานนั้น
แม้จบมาด้วยเกรดที่สูง
แต่ทำงานร่วมกับคนอื่นไม่เป็น
ก็วิธีการคัดเลือกของคุณมันเป็นอย่างนั้นเองนี่นา
ด้วยความที่อยากให้มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมในมหาวิทยาลัยมากขึ้น
จึงทำให้เกิดเอกสารที่เรียกว่า
"ใบรับรองการเข้าร่วมกิจกรรม"
หรือที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า
"Activity
transcript" หรือเรียกย่อ
ๆ ว่า AT
เพื่อที่ผู้เข้าร่วมจะได้มีหลักฐานที่เป็นพยานวัตถุเอาไว้ยืนยันกับผู้อื่นได้ว่าเป็นผู้มีส่วนร่วมในกิจกรรม
แต่ที่ผมนึกไม่ถึงก็คือเมื่อเช้าบังเอิญเดินเข้ามหาวิทยาลัยทางด้านประตูใหญ่
ก็ไปเห็นป้ายโฆษณาเชิญชวนให้ไปตักบาตร
โดยมีการรับสมัคร STAFF
หน้างาน
และจะมีคะแนน "AT"
ให้ด้วย
ผมยังมองว่าการทำบุญเพื่อให้ได้บุญนั้นควรต้องเป็นการทำบุญด้วยใจ
ไม่ใช่เพื่อหวังประโยชน์ส่วนตนเป็นผลตอบแทน
ยังสงสัยว่าต่อไปจะมีการตั้งกฎเกณฑ์บังคับให้นิสิตต้องมาตักบาตรที่มหาวิทยาลัยหรือเปล่า
เพื่อให้ได้คะแนน AT
ครบตามข้อกำหนด
ไม่งั้นไม่ให้สำเร็จการศึกษา
และทางมหาวิทยาลัยจะได้มีหลักฐานเอาไปอวดอ้างกับคนอื่นว่ามีการส่งเสริมให้ทำนุบำรุงศาสนาและปฏิบัติธรรม
แต่อีกแง่หนึ่งก็ทำให้รู้สึกดีใจ
ถ้ามีคนเข้าร่วมกิจกรรมกับชมรมนี้น้อยลงทุกที
ด้วยเหตุผลอะไรเชื่อว่าหลายต่อหลายคนก็คงจะรู้กันอยู่แก่ใจ
:)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น