เช้าวันศุกร์ที่
๑๓ มกราคม ๒๕๔๙
ผมกับอาจารย์อีกทางหนึ่งก็ไปสอนหนังสือที่ตึกเรียนตามปรกติ
พอถึงเวลาเรียนปรากฏว่า
ห้องของผมกับห้องของอาจารย์อีกท่านนั้น
(ซึ่งสอนในเวลาเดียวกัน)
ซึ่งปรกติจะมีนิสิตเข้าเรียนแต่ละห้องประมาณ
๔๐ คน กลับมีคนมาเรียนเพียงแค่ไม่กี่คน
ปรกติผมถือคติว่าไม่ใช่ความผิดของคนที่มาตรงตามเวลา
ที่ต้องมานั่งรอคนที่มาสาย
เพราะถ้ายิ่งรอเขาเมื่อใด
จะทำให้เขาได้ใจคิดว่าเขาเป็นคนสำคัญ
และเขาจะไม่สนใจที่จะมาให้ตรงตามเวลา
ผลก็เลยสอนไปเรื่อย ๆ
แต่ปรากฏว่าในวันนั้นไม่มีนิสิตมาเข้าเรียนเพิ่มเติมอีกเลย
ห้องของอาจารย์อีกท่านหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์แบบเดียวกัน
จากการสอบถามก็พบว่า
วิชาก่อนหน้าที่นิสิตกลุ่มที่ผมและอาจารย์อีกท่านต้องสอนต่อนั้น
มีการสอบย่อยในชั่วโมง
ทีนี้เนื่องจากผู้คุมการสอบเห็นว่าชั่วโมงถัดไปไม่มีใครใช้ห้องเรียน
และเขาก็ไม่มาธุระอะไรอื่น
เขา ก็เลยขยายเวลาสอบออกไปอีก
๑ ชั่วโมง
นิสิตที่เข้าเรียนวิชาดังกล่าวก็เลยต้องทุ่มให้กับการทำสอบย่อย
ทั้ง ๆ
ที่ในเวลาเดียวกันนั้นเขามีกำหนดต้องไปเรียนอีกวิชาหนึ่ง
นิสิตเหล่านี้ก็เลยต้องขาดเรียนอีกวิชาหนึ่งไปโดยปริยาย
ส่วนนิสิตที่มาเรียนวิชาของผมกับของอาจารย์อีกท่านได้นั้น
มาได้เนื่องจากห้องที่เขาเรียนนั้นปล่อยตามกำหนดเวลา
ปรกติตารางสอนจะกำหนดช่วงเวลาเอาไว้
๑ ชั่วโมง
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะเรียนกันจนเต็มเวลา
๑ ชั่วโมง เวลาเรียนนั้นจะมีเพียง
๕๐ นาทีเท่านั้น เพราะต้องให้เวลา
๑๐ นาทีสำหรับนิสิตเปลี่ยนห้องเรียน
และให้ผู้สอนรายใหม่เข้ามาจัดเตรียมอุปกรณ์การสอนก่อนที่จะเริ่มการสอนตอนต้นชั่วโมง
เช่นถ้าตารางสอนให้สอน
๙.๐๐
-
๑๐.๐๐
น การสอนก็ควรจะอยู่ในช่วง
๙.๐๐
-
๙.๕๐
น โดยเหลือช่วงเวลา ๑๐ นาทีก่อน
๑๐.๐๐
น ให้นิสิตสามารถย้ายไปเรียนวิชาอื่นที่ห้องเรียนอื่น
และอาจารย์ผู้สอนรายใหม่ที่จะเข้ามาใช้ห้องเรียนนั้นจะได้มีเวลาจัดเตรียมการสอน
แต่ที่พบเห็นกันประจำก็คืออาจารย์ผู้สอนบางรายมาสอนสายเป็นประจำ
ทำเอาต้องไปเลิกการสอนช้ากว่ากำหนดหรือไปกินเวลาของวิชาถัดไป
นิสิตกลุ่มดังกล่าวที่ต้องย้ายไปเรียนอีกห้องหนึ่งก็เลยต้องเข้าเรียนสาย
นิสิตกลุ่มที่รอใช้ห้องเรียนนั้นอยู่ก็เริ่มเรียนสายไปด้วย
และดูเหมือนว่าอาจารย์ที่มีพฤติกรรมเช่นนี้จะไม่ยอมรับรู้ปัญหาเหล่านี้
เพราะเห็นเป็นประจำว่าคนไหนมีพฤติกรรมแบบนี้
ก็มักมีพฤติกรรมแบบนี้ทุกปี
(บางรายที่ผมต้องสอนต่อจากเขา
ถ้าไม่เคาะประตูห้องบอกว่าเลยเวลาแล้ว
เขาก็ไม่สนใจ
และต้องทำอย่างนี้ทุกครั้งที่ต้องใช้ห้องสอนต่อจากเขา)
มาปีนี้ก็เกิดเหตุการคล้ายคลึงกันกับเมื่อเกือบ
๘ ปีที่แล้ว
นิสิตป.ตรีที่ผมสอนนั้นถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม
แยกเรียนสองวิชาคู่ขนานกัน
โดยนิสิตจะเรียนวิชาแรกตอน
๘.๐๐
– ๙.๓๐
น และวิชาที่สองตอน ๙.๓๐
– ๑๑.๐๐
น และห้องเรียนทั้งสองวิชาก็อยู่ติดกัน
โดยวิชาที่ผมสอนในช่วงที่สองนั้น
จะมีนิสิตป.โท
เข้ามาร่วมเรียนด้วย
สำหรับนิสิตที่เรียนกับผมเป็นวิชาแรก
ผมจะเลิกสอนประมาณ ๙.๑๕
– ๙.๒๐
น
เพื่อให้พวกเขามีเวลาเตรียมตัวไปเรียนวิชาอีกวิชาหนึ่งที่อีกห้องหนึ่ง
หรือไม่ก็ให้เวลาเพื่อแวะไปเข้าห้องน้ำ
และเพื่อให้นิสิตป.โท
และนิสิตป.ตรี
กลุ่มที่สองย้ายเข้าห้องเรียนเพื่อจะเริ่มเรียนตอน
๙.๓๐
น
แต่สิ่งที่พบอยู่เป็นประจำคือ
แม้ว่าจะได้เวลาเรียนแล้ว
นิสิตที่เลิกเรียนจากห้องที่ผมสอนยังต้องยืนรอหน้าห้องเรียน
เพราะกลุ่มที่ต้องย้ายมาเรียนกับผมนั้นยังไม่เลิกเรียน
ส่วนห้องที่ผมสอนนั้นก็มีนิสิตป.โท
เข้ามาเรียนพร้อมตามกำหนดเวลา
พอได้เวลา ๙.๓๐
น ผมก็ต้องเริ่มสอน
เพราะถือว่าไม่ใช่ความผิดของคนที่มาตรงตามเวลาที่ต้องนั่งรอคนที่มาสาย
สอนไปได้ประมาณ
๑๐-๑๕
นาที จึงค่อยมีนิสิตป.ตรี
อีกกลุ่มหนึ่งทยอยเดินเข้ามาในห้องเรียน
ทำให้เขาขาดการเรียนในช่วงแรกไปประมาณ
๑๐-๑๕
นาที จะไปโทษพวกเขาก็ไม่ได้ว่าไม่รู้จักรักษาเวลา
เพราะสาเหตุที่ทำให้เขาต้องเข้าเรียนวิชาของผมสายก็เพราะวิชาก่อนหน้าที่พวกเขาเรียนอยู่นั้น
เลิกเรียนสาย
ส่วนที่ว่าทำไมถึงเลิกช้านั้น
ขออนุญาตไม่กล่าวก็แล้วกัน
เพราะดูเหมือนว่ามีหลายสาเหตุ
วันนี้เป็นวันที่ผมสอนวิชาดังกล่าวเป็นวันสุดท้ายก่อนที่จะเริ่มการสอบกลางภาค
(หลังสอบกลางภาคก็จะมีคนอื่นมาสอนต่อในเนื้อหาส่วนอื่น)
ก็ยังคงเกิดเหตุการณ์ทำนองเดียวขึ้นอีก
ก็เลยถ่ายรูปห้องเรียนที่ไม่มีนิสิตมาเรียนไว้เป็นที่ระลึกสักหน่อยและเอามาลงใน
Memoir
ฉบับนี้เพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึก
ก่อนจะไปเคี่ยวเข็ญให้นิสิตต้องส่งการบ้านหรือส่งรายงานให้ตรงเวลา
ผมว่าอาจารย์เองควรเลิกสอนและเริ่มสอนให้ตรงเวลาก่อนดีไหมครับ
และนี่แหละครับคือเหตุผลที่ผมเขียนไว้ใน
Memoir
ฉบับหนึ่งก่อนหน้านี้ว่า
"อยู่ดี
ๆ จะให้ผมไปสอนคุณธรรม
จริยธรรม ให้กับนิสิต
ผมว่ามันตลกนะ
ผมมองว่าการกระทำของเด็กเป็นผลจากการลอกเลียนแบบพฤติกรรมของผู้ใหญ่
ถ้าเราคิดว่าพฤติกรรมของเด็กนั้นมีปัญหา
สิ่งแรกที่ควรต้องแก้ไขก่อนก็คือพฤติกรรมของผู้ใหญ่
ไม่ใช่พฤติกรรมของเด็ก
ถ้าอาจารย์มองว่าพฤติกรรมของเด็กมีปัญหา
อาจารย์ก็ควรมองว่าพฤติกรรมของอาจารย์เองมีปัญหาหรือเปล่า
เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้เขาลอกเลียนแบบหรือเปล่า
จะไปสอนเขา จะไปให้เขาแก้ไข
พฤติกรรม การกระทำ ที่เราเห็นว่าไม่ดี
ไม่ชอบนั้น สิ่งแรกที่เราควรทำคือ
"ต้องกลับมาพิจารณาตัวเอง"
ก่อนว่าเรามีพฤติกรรมและการกระทำดังกล่าวให้เขาลอกเลียนแบบหรือเปล่า
ไม่ใช่คิดว่าเด็กต้องมีพฤติกรรมไม่ดีอย่างโน้นอย่างนี้
แล้วจะจัดการเขาอย่างไร
จะวัดผลการพัฒนาด้านคุณธรรมและจริยธรรมของเด็กอย่างไร"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น