ในการทำปฏิกิริยา
hydroxylation
ของกลุ่มเรานั้น
ระบบที่เราเลือกใช้เป็นระบบ
3
เฟสที่ประกอบด้วย
เฟสที่
๑ เฟสตัวเร่งปฏิกิริยาที่เป็นของแข็ง
เฟสนี้มีความหนาแน่นมากที่สุด
และจะจมอยู่ด้านล่างของภาชนะ
เฟสที่
๒ เฟสของน้ำที่ใช้เป็นตัวกลาง
เฟสนี้เป็นเฟสของเหลวและเป็นเฟสที่มีสารละลาย
H2O2
ละลายอยู่
เฟสนี้เป็นเฟสที่มีตัวเร่งปฏิกิริยา
แต่มีปริมาณไฮโดรคาร์บอนอยู่น้อยมาก
และ
เฟสที่
๓ เฟสของไฮโดรคาร์บอน
(เบนซีนหรือโทลูอีน)
เฟสนี้เป็นเฟสของเหลวที่มีความหนาแน่นต่ำกว่าเฟสน้ำ
และลอยอยู่บนผิวหน้าของเฟสน้ำ
ปฏิกิริยาจะเกิดได้นั้นทั้ง
H2O2
และไฮโดรคาร์บอนจะต้องมีอยู่ร่วมกันบนผิวตัวเร่งปฏิกิริยา
คำถามหนึ่งที่คนที่ทำการทดลองเรื่องนี้มักจะโดนกรรมการสอบถามอยู่เป็นประจำก็คือ
"ทำไมไม่ใช้ตัวทำละลายประสานเฟสน้ำและเฟสไฮโดรคาร์บอนเข้าด้วยกัน"
เหตุผลที่ทางกลุ่มเราไม่เลือกใช้ตัวทำละลายเป็นตัวประสานเฟสก็เพราะ
ข้อที่
๑ พื้นผิวของ TS-1
นั้นชอบโมเลกุลไม่มีขั้วมากกว่าโมเลกุลมีขั้ว
ตัวทำละลายที่จะประสานเฟสน้ำและเฟสไฮโดรคาร์บอนได้นั้นต้องมีทั้งส่วนที่
"มีขั้ว"
และ
"ไม่มีขั้ว"
อยู่ในโมเลกุลเดียวกัน
และเมื่อประสานเฟสได้แล้วจะทำให้ปริมาณ
H2O2
บนพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยาลดต่ำลงไป
เพราะมีทั้งไฮโดรคาร์บอนในปริมาณมากร่วมกับตัวทำละลายนั้นเข้าไปแย่งเกาะบนพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยา
ซึ่งเกาะได้ดีกว่าด้วย
ผลก็คือจะได้ค่า conversion
ลดลง
ปัญหาตรงนี้พบเห็นได้ในหลายบทความ
ข้อที่
๒ ตัวทำละลายนั้นต้อง
"เฉื่อย"
ต่อการทำปฏิกิริยากับ
H2O2
เพราะไม่เช่นนั้นอาจเกิดอันตรายได้
เหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นกับอีกกลุ่มหนึ่งที่ทำการทดลองปฏิกิริยา
hydroxylation
เหมือนกับกลุ่มเรา
เรื่องนี้ได้เล่าไว้ใน
Memoir
ปีที่
๓ ฉบับที่ ๒๓๒ วันอังคารที่
๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๓ เรื่อง
"ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์และคีโตน"
ข้อที่
๓ เมื่อใช้ตัวทำละลายประสานเฟส
ผลที่เกิดขึ้นคือสารละลายที่ได้นั้นมักจะมีความหนาแน่นที่ต่ำกว่าความหนาแน่นของน้ำ
เพราะตัวทำละลายที่พอจะประสานเฟสได้นั้นมักจะมีความหนาแน่นต่ำกว่าน้ำ
และมักจะทำให้เกิดปัญหาในการปั่นกวนได้
ซึ่งจะเป็นเรื่องที่จะเล่าใน
Memoir
ฉบับนี้
ข้อที่
๔ ตัวทำละลายที่ "เฉื่อย"
ต่อ
H2O2
และมีความหนาแน่น
"สูงกว่า"
น้ำก็เห็นจะมีแต่พวก
organic
halide เท่านั้น
แต่พวกนี้ก็มีปัญหาในการกำจัด
แต่ก็ยังก่อให้เกิดปัญหาเรื่องการแย่งดูดซับบนพื้นที่ผิวที่กล่าวไว้ในข้อที่
๑ ดังนั้นเราจึงไม่เลือกใช้ตัวทำละลายกลุ่มนี้
การที่อนุภาคของแข็ง
(ที่ไม่เป็นอนุภาคขนาดเล็กมากเกินไป)
จะแขวนลอยได้ในของเหลวนั้น
มีปัจจัยหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง
(ค่อย
ๆ ว่ากันไปทีละตอน)
แต่สิ่งแรกที่สำคัญก็คือความหนาแน่นของของแข็งนั้นจะต้อง
(ก)
"มากกว่า"
ความหนาแน่นของของเหลว
(เพราะถ้าความหนาแน่นของของแข็ง
"น้อยกว่า"
มันก็จะลอยอยู่ข้างบน
มันไม่แขวนลอยในของเหลว)
และ
(ข)
"ไม่มากกว่า"
ความหนาแน่นของของเหลวนั้นมากเกินไป
ถ้าความหนาแน่นของของแข็งและของเหลวนั้นแตกต่างกันมาก
แม้ว่าการปั่นกวนจะทำให้ของแข็งถูกเหวี่ยงให้แขวนลอยในของเหลวได้
แต่ของแข็งนั้นก็จะตกลงสู่ก้นภาชนะได้เร็ว
วิดิโอที่แนบมาให้นั้นเป็นภาพที่ผมร่วมกับสาวน้อยจากเมืองขุนแผนถ่ายเอาไว้เมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา
โดยนำเอา SiO2
มาแขวนลอยในน้ำ
(ความถ่วงจำเพาะประมาณ
1.0)
หรือเอทานอล
(ความถ่วงจำเพาะประมาณ
0.79)
แล้วนำมาปั่นกวนด้วยความเร็วรอบเท่ากัน
จะเห็นว่าในกรณีของน้ำนั้นอนุภาค
SiO2
จะแขวนลอยได้นานกว่าโดยสังเกตได้จากการที่ของเหลวในชั้นบน
(ในกรอบสี่เหลี่ยมในรูปที่
๑ ข้างล่าง)
นั้นขุ่นกว่าเมื่อทำการปั่นกวนในเอทานอล
รูปที่ ๑ เปรียบเทียบการปั่นกวน SiO2 ให้แขวนลอยใน (บน) น้ำ และ (ล่าง) เอทานอล สองภาพนี้จับภาพมาจากวิดิโอที่แนบมาด้วย จะเห็นว่าในน้ำนั้น SiO2 จะแขวนลอยได้ดีกว่าเนื่องจากน้ำมีความหนาแน่นสูงกว่าเอทานอล SiO2 จึงตกลงสู่เบื้องล่างช้ากว่า
เหตุการณ์นี้จะเห็นชัดขึ้นถ้าหากระดับน้ำ/เอทานอลที่ใช้ในการทดลองวันนั้นสูงมากกว่านี้
แต่ที่วันนั้นไม่ได้ทำเช่นนั้นก็เพราะไม่อยากสิ้นเปลืองเอทานอลเท่านั้นเอง
หวังว่าบันทึกนี้คงช่วยให้ทั้งสาวน้อยจากเมืองขุนแผนและสาวน้อยจากเมืองโอ่งมังกร สามารถอธิบายให้กรรมการเข้าใจเหตุผลได้ว่า
ทำไมในการทดลองของเราจึงไม่ใช้ตัวทำละลายในการประสานเฟสเพื่อแก้ปัญหาการแยกเฟส
และตอนต่อไปจะเป็นเรื่องของขนาดของ
magnetic
bar กับเส้นผ่านศูนย์กลางของบีกเกอร์
วิดิโอการปั่นกวน SiO2 ในน้ำ
วิดิโอการปั่นกวน SiO2 ในเอทานอล
วิดิโอการปั่นกวน SiO2 ในน้ำ
วิดิโอการปั่นกวน SiO2 ในเอทานอล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น