เรามาดูเรื่องการหาสภาวะที่เหมาะสมสำหรับการทำงานของ
pyrolysis
heater กันต่อ
ที่อัตราการให้ความร้อนคงที่
ปริมาณความร้อนที่แก๊สในขดท่อจะรับได้นั้นขึ้นอยู่กับอัตราการไหล
ถ้าแก๊สไหลช้าก็จะรับความร้อนได้มากเพราะมีเวลารับความร้อนมาก
ถ้าแก๊สไหลเร็วก็จะรับความร้อนได้น้อยเพราะมีเวลารับความร้อนน้อย
อัตราการไหลโดยปริมาตรของแก๊สขึ้นอยู่กับ
"อัตราส่วนระหว่างไอน้ำที่ใช้ในการเจือจางสายป้อนต่อปริมาณไฮโดรคาร์บอนที่ป้อนเข้าไป"
อย่างที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าการลดความดันย่อย
(partial
pressure) ของไฮโดรคาร์บอนจะทำให้ปฏิกิริยา
cracking
เกิดไปข้างหน้าได้ดีขึ้น
ดังนั้นถ้าผสมไอน้ำเข้าไปมาก
ก็จะทำให้ปฏิกิริยาดำเนินไปข้างหน้าได้ดีขึ้น
แต่ก็เป็นการสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย
(ส่วนของไอน้ำและการแยกออก)
เพิ่มมากขึ้น
ปฏิกิริยา
cracking
อีเทนไปเป็นเอทิลีนนั้นต้องการเวลาทำปฏิกิริยาที่สั้นที่อุณหภูมิสูง
ไม่เช่นนั้นผลิตภัณฑ์ที่ได้จะเกิดการสลายตัว
ดังนั้นการรับความร้อนอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้นและเย็นตัวลงอย่างรวดเร็วจะเป็นสิ่งดี
การรับความร้อนอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้นทำได้ด้วยการใช้อัตราการไหลที่สูงผ่านท่อ
และให้ความร้อนในอัตราที่สูง
(แต่ทั้งนี้จะต้องไม่เกินขีดความสามารถของโลหะที่ใช้ทำท่อที่สามารถทนได้)
ส่วนการทำให้เย็นตัวลงอย่างรวดเร็วทำได้ด้วยการใช้
transfer
line exchanger (TLE) ในการหยุดปฏิกิริยา
อัตราการไหลที่สูงนั้นช่วยเฉือน
coke
ที่อาจเกาะสะสมอยู่บนผิวด้านในของท่อรับความร้อน
ทำให้ความต้านทานในการรับความร้อนมีค่าต่ำ
(คือถ่ายเทความร้อนได้ดี)
แต่อาจทำให้เกิดปัญหาการสึกหรอเนื่องจาก
erosion
โดยเฉพาะตรงบริเวณข้องออันเป็นผลจากอัตราการไหลที่สูง
ที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่าในการออกแบบนั้นมันมีข้อจำกัดอยู่รอบด้าน
หน้าที่ของวิศวกรในการออกแบบก็คือการหาจุดที่เหมาะสมที่ยอมรับได้ในการทำงาน
(คือทุกปัญหามันเลี่ยงไม่ได้
เพียงแค่หาเงื่อนไขการทำงานที่ขนาดของแต่ละปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นอยู่ในระดับที่ยอมรับได้)
ถ้าขีดจำกัดบนของกำลังการผลิตสูงสุดนั้นอยู่ที่ความเร็วสูงสุดของการไหลในท่อเป็นหลัก
ขีดจำกัดล่างของกำลังการผลิตก็ไปอยู่ที่เวลาที่ไฮโดรคาร์บอนไหลอยู่ในท่อนานเกินไป
ซึ่งจะทำให้เกิด coke
สะสมมากขึ้น
ในความเป็นจริงนั้นอุปกรณ์มักจะไม่ถูกใช้งานเกินขีดความสามารถสูงสุดของมัน
แต่เป็นเรื่องปรกติที่จะมีการเดินเครื่องที่อัตราการผลิตต่ำกว่าค่าที่ออกแบบไว้
และถ้าจำเป็นต้องมีการเดินเครื่องที่อัตราการผลิตต่ำกว่าค่าที่ออกแบบไว้
ทาง Lummus
ได้ให้คำแนะนำว่าไม่ควรจะเดินเครื่องที่กำลังการผลิตต่ำกว่า
70%
ของค่าที่ออกแบบ
และถ้าจำเป็นต้องมีการเดินเครื่องที่อัตราการผลิตที่ลดต่ำลงก็ให้เพิ่มปริมาณไอน้ำที่ใช้เจือจาง
(dilution
steam) ให้มากขึ้น
(เช่นสูงจนถึงระดับ
110%
ของค่าออกแบบ)
การเพิ่มอัตราการไหลจะไปลดเวลารับความร้อน
(ลด
residence
time) ทำให้ต้องเพิ่มอุณหภูมิด้านขาออกจากขดท่อ
(coil
outlet temperature หรือ
COT)
ให้สูงขึ้นเพื่อคงค่า
conversion
ให้คงที่
การลดเวลาการรับความร้อนทำให้ค่าการเลือกเกิด
(selectivity)
ของเอทิลีนเพิ่มสูงขึ้น
แต่การเพิ่มอัตราการไหลจะไปเพิ่มค่าความดันลด
(pressure
drop) ซึ่งส่งผลต่อค่าการเลือกเกิดของเอทิลีนในทิศทางตรงกันข้าม
(๒
ปัจจัยที่ให้ผลขัดแย้งกัน)
แต่เนื่องจากการเพิ่มความดันให้ผลกระทบที่มากกว่าการลดเวลารับความร้อน
ดังนั้นปริมาณเอทิลีนที่ได้จริง
(ค่า
yield)
จะลดลงถ้าเพิ่มอัตราการไหลมากเกินไป
แก๊สร้อนที่ออกมาจาก
pyrolysis
heater จะถูกทำให้เย็นตัวลง
ส่วนที่ควบแน่นเป็นของเหลวได้
(ได้แก่ไอน้ำและไฮโดรคาร์บอนหนัก)
จะถูกแยกออกไป
เฉพาะส่วนที่ยังคงเป็นแก๊สนั้นจะถูกอัดเพิ่มความดันโดยคอมเพรสเซอร์
(จะกล่าวถึงในภายหลัง)
ในกรณีของสารตั้งต้นที่เป็นอีเทนนั้น
อัตราการไหลโดยปริมาตรของส่วนที่ยังคงเป็นแก๊สที่ไม่ควบแน่นที่คอมเพรสเซอร์จะได้รับผลกระทบจาก
(ก)
ผลิตภัณฑ์ข้างเคียงที่เป็นแก๊สโมเลกุลเล็กที่เกิดขึ้น
เช่นมีเทนและไฮโดรเจน
ที่เกิดจากการสลายตัว
พวกนี้ทำให้อัตราการไหลโดยปริมาตรของแก๊สเพิ่มขึ้น
(ข)
การเกิดสารประกอบไฮโดรคาร์บอนโมเลกุลใหญ่ที่ควบแน่นเป็นของเหลวในระหว่างการเย็นตัวลง
พวกนี้ทำให้อัตราการไหลโดยปริมาตรลดลง
และ
(ค)
การเกิด
cokeที่เป็นของแข็งสะสมในระบบท่อ
พวกนี้ทำให้อัตราการไหลโดยปริมาตรลดลง
ดังนั้นถ้าพิจารณาอัตราการไหลโดยปริมาตรของไฮโดรคาร์บอน
ณ ตำแหน่งก่อนป้อนเข้า
pyrolysis
heater กับตำแหน่งก่อนป้อนเข้าคอมเพรสเซอร์แล้ว
จะเห็นว่าขึ้นอยู่กับอุณหภูมิการทำงานของ
pyrolysis
heater ว่าจะทำให้เกิดโมเลกุลเล็ก
(ที่ทำให้ปริมาตรแก๊สเพิ่มมากขึ้น)
และโมเลกุลใหญ่
(ที่ทำให้ปริมาตรแก๊สลดลง)
นั้นในสัดส่วนเท่าใด
(ดูรูปที่
๑๐ ข้างล่างประกอบ)
รูปที่
๑๐
แผนผังอย่างง่ายแสดงการเกิดขึ้นและการหายไปขององค์ประกอบที่เป็นแก๊สที่ไปถึงคอมเพรสเซอร์
ในความเป็นจริงการพิจารณาหาความดันที่เหมาะสมสำหรับการทำงานของ
pyrolysis
heater นั้นจะดูที่ปริมาณเอทิลีนที่ได้เพียงอย่างเดียวไม่ได้
มันมีเรื่องความสามารถในการทำงานของคอมเพรสเซอร์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
คอมเพรสเซอร์จะทำงานได้ดีถ้า
"ความดันด้านขาเข้าของคอมเพรสเซอร์"
มีค่าสูงมากพอ
และที่อัตราการไหลที่สูงก็ย่อมต้องการความดันด้านขาเข้าที่สูงตามไปด้วย
แต่ความดันด้านขาเข้าของคอมเพรสเซอร์นี้ขึ้นอยู่กับ
"ความดันที่ใช้ในการเกิดปฏิกิริยาของ
pyrolysis
heater" ถ้าความดันที่ใช้ในการเกิดปฏิกิริยาของ
pyrolysis
heater มีค่าสูง
ก็จะทำให้ความดันด้านขาเข้าของคอมเพรสเซอร์มีค่าสูงตามไปด้วย
คอมเพรสเซอร์ก็จะทำงานได้ดี
(ไม่เกิดปัญหา
surging)
แต่ความดันที่ใช้ในการเกิดปฏิกิริยาของ
pyrolysis
heater ที่มีค่าสูงเกินไปจะทำให้การเกิดโอเลฟินส์ลดลง
จะเห็นว่ามันก็เป็นปัจจัยที่ขัดแย้งกันระหว่างการทำให้เกิดผลิตภัณฑ์มาก
กับการที่เครื่องจักรจะสามารถทำงานได้ราบเรียบ
รายละเอียดเพิ่มเติมของเนื้อหาในส่วนนี้จะเอาไว้ตอนกล่าวถึงการทำงานของคอมเพรสเซอร์
ในส่วนการควบคุมคุณภาพน้ำที่ใช้ผลิตไอน้ำความดันสูงใน
transfer
line exchanger นั้น
สามารถควบคุมได้ด้วย
(ก)
การใช้สารเคมีปรับสภาพ
(ข)
การระบายน้ำทิ้งอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาระดับเกลือแร่ที่ละลายอยู่นั้นไม่ให้เพิ่มสูงเกินไป
(ค)
การระบายน้ำทิ้งเป็นระยะเพื่อระบายของแข็งที่ตกตะกอน
จะว่าไปแล้วหน่วยควบคุมคุณภาพน้ำมักจะอยู่ในส่วนของระบบสาธารณูปโภคที่ไม่ได้อยู่ในส่วนของกระบวนการผลิต
กล่าวคือเจ้าของกระบวนการนั้นจะให้ข้อมูลแต่เฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องในการเปลี่ยนสารตั้งต้นให้เป็นผลิตภัณฑ์
เช่นต้องทำอุณหภูมิให้ได้เท่าใด
ส่วนที่จะเพิ่มอุณหภูมิด้วยวิธีการใด
(เช่นใช้ไอน้ำความดันเท่าใด)
และลดอุณหภูมิด้วยวิธีการใด
(เช่นใช้น้ำหรืออากาศระบายความร้อน)
มันไปอยู่ในส่วนของระบบสาธารณูปโภค
(Utility)
ที่แต่ละโรงงานสามารถแตกต่างกันได้
มาต่อกันในส่วนของการให้ความร้อน
ในทางทฤษฎีนั้นอุณหภูมิสูงสุดของแก๊สร้อนที่ได้จากการเผาไหม้จะเกิดขึ้นที่อัตราส่วนระหว่างเชื้อเพลิงกับอากาศอยู่ที่
stoichiometric
ratio คือมีอากาศในปริมาณที่พอที่ที่ทำให้
C
กลายเป็น
CO2
ได้สมบูรณ์
และ H
กลายเป็น
H2O
ได้สมบูรณ์
โดยไม่มีออกซิเจนหลงเหลือ
การใช้ปริมาณอากาศน้อยเกินไปจะดึงความร้อนออกมาจากเชื้อเพลิงไม่หมด
การใช้ปริมาณอากาศมากเกินไปจะทำให้ต้องเฉลี่ยความร้อนที่เกิดขึ้นให้กับอากาศส่วนเกิน
สองปัจจัยนี้ทำให้แก๊สร้อนที่ได้มีอุณหภูมิลดต่ำลง
แต่ในทางปฏิบัติจะใช้อากาศมากเกินพอเล็กน้อยเพื่อทำให้เกิดการเผาไหม้ที่สมบูรณ์
Lummus
นั้นแนะนำให้ทำการวัดปริมาณออกซิเจนส่วนเกินที่
๓ ตำแหน่งด้วยกันคือ
บริเวณที่เกิดการเผาไหม้
(เขาใช้คำว่า
at
the hearth) ที่ระยะความสูง
1/3
ของส่วน
radiation
zone และจุดที่แก๊สร้อนออกจาก
radiation
zone เข้าสู่
convection
zone โดยค่าปริมาณออกซิเจนส่วนเกิน
(excess
oxygen) ควรอยู่ในช่วงระหว่าง
2-3%
ที่ค่าต่ำกว่า
2%
มีโอกาสสูงที่จะเกิดการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์
(เกิดเขม่าเกาะติดผิวต่อในส่วน
radiation
zone ได้)
และที่ค่าสูงกว่า
3%
จะทำให้อุณหภูมิแก๊สร้อนที่ได้ลดต่ำลง
อุณหภูมิอีกตำแหน่งหนึ่งที่ส่งผลต่อการเกิดปฏิกิริยาในส่วน
radiation
zone คืออุณหภูมิในช่วงที่แก๊สร้อนไหลออกจาก
convection
zone เข้าสู่
radiation
zone อุณหภูมิ
ณ ตำแหน่งนี้เรียกว่า cross-over
temperature ค่าของ
cross-over
temperature นี้ควรมีค่าสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้
(เพื่อลดปัญหา
thermal
shock อันเป็นผลจากการที่อุณหภูมิเพิ่มขึ้นกระทันหัน)
แต่ทั้งนี้จะต้องไม่สูงจนทำให้เกิดปฏิกิริยา
cracking
ในท่อที่อยู่ในส่วน
convection
zone เพราะการเกิด
coke
ขึ้นในท่อส่วน
convection
zone จะทำให้เกิดปัญหาในการกำจัด
coke
นั้นด้วยการเผา
เพราะในทางปฏิบัตินั้นไม่สามารถทำให้ท่อในส่วน
convection
zone นั้นร้อนจนถึงอุณหภูมิที่
coke
เริ่มเผาไหม้ได้
ดังนั้นค่าสูงสุดของ
cross-over
temperature จึงขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่นำมาผลิต
อีเทนเริ่มเกิดการแตกตัวที่อุณหภูมิประมาณ
650ºC
แนฟทาเริ่มเกิดการแตกตัวที่อุณหภูมิประมาณ
600ºC
และ
gas
oil เริ่มเกิดการแตกตัวที่อุณหภูมิประมาณ
550-600ºC
อุณหภูมิเหล่านี้เป็นค่าโดยประมาณ
แต่สิ่งสำคัญที่ต้องพึงระลึกเอาไว้เสมอก็คือค่า
cross-over
temperature นี้จะเพิ่มสูงขึ้นได้ตามวัตถุดิบที่เบาขึ้น
แต่ทั้งนี้จะต้องไม่เกิน
650ºC
ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่อีเทนเริ่มแตกตัว
รูปแบบการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิตลอดความยาวท่อก็มีความสำคัญ
pyrolysis
heater ของ
Lummus
นั้นวางท่อในแนวดิ่ง
และอุณหภูมิด้านขาเข้าและขาออกของแต่ละขดท่อก็ควรจะใกล้เคียงกันด้วย
(ดูรูปที่
๗ ใน Memoir
ตอนที่
๕ ที่แสดงผนังด้านหนึ่งที่ประกอบไปด้วยขดท่อ
๓ ชุด พอรวมผนังทั้งสองด้านก็จะมีขดท่อ
๖ ชุด)
การที่ผิวท่อมีอุณหภูมิสม่ำเสมอทำให้ช่วยลดอุณหภูมิสูงสุดที่ต้องทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ในปริมาณที่ต้องการ
และยังช่วยลดอัตราการเกิด
coke
การทำเช่นนี้ได้ต้องอาศัยการปรับแต่งการทำงานของหัวเตาที่ติดตั้งอยู่ที่ตำแหน่งต่าง
ถ้าผิวท่อบริเวณไหนเย็นเกินไป
ปฏิกิริยาก็จะเกิดขึ้นน้อยตรงบริเวณนั้น
แต่ถ้าผิวท่อบริเวณไหนร้อนจัดเกินไป
จะทำให้เกิดการสะสมของ coke
ตรงตำแหน่งนั้นมากเป็นพิเศษ
ท่อตรงบริเวณที่มี coke
สะสมจะถ่ายเทความร้อนให้กับแก๊สที่ไหลอยู่ภายในได้ไม่ดี
ทำให้โลหะของท่อบริเวณนั้นร้อนจัดกว่าบริเวณอื่น
ซึ่งถ้าปล่อยไว้อาจเกิดความเสียหายขึ้นที่ตัวท่อได้
ดังนั้นถ้าเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นก็จำเป็นต้องหยุดเดินเครื่องเพื่อกำจัด
coke
ณ
ตำแหน่งนั้นออก (ทั้ง
ๆ ที่บริเวณอื่นยังไม่มีปัญหา)
ซึ่งถือว่าเป็นการสูญเสียกำลังการผลิต
เพื่อที่จะทำให้
pyrolysis
furnance ทำงานได้ยาวนานก่อนถึงเวลากำจัด
coke
ในแต่ละครั้ง
จึงควรต้องเดินเครื่องในรูปแบบที่ทำให้การเกิด
coke
นั้นเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ
ณ ตำแหน่งต่าง ๆ ของท่อ
เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวทาง
Lummus
จึงได้ให้คำแนะนำว่าควรเดินเครื่องโดยควบคุมให้
-
อุณหภูมิระหว่างด้านบนและด้านล่างนั้นไม่ควรแตกต่างกันมากเกินกว่า
30ºC
-
ควบคุม
cross
over temperature
ให้อยู่ใกล้เคียงกับค่าที่ออกแบบให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
-
ถ้าต้องการอัตราการไหลแก๊สเชื้อเพลิงที่ต่ำ
(เช่นในช่วงเริ่มเดินเครื่องหรือหยุดเดินเครื่อง)
ไม่ควรจะจุดหัวเตาจำนวนมากเกินไป
เพราะจะทำให้ความดันแก๊ส
ณ หัวเตาที่ทำงานนั้นต่ำเกินไป
นอกจากนี้ความดันแก๊สเชื้อเพลิงที่ต่ำยังทำให้ระบบควบคุมอัตโนมัติทำงานได้ลำบาก
-
พยายามให้รูปแบบการให้ความร้อนทางแต่ละด้านของขดท่อมีความสมมาตร
(คือไม่ให้ด้านใดด้านหนึ่งของท่อนั้นร้อนเกินไป)
จะได้ไม่เกิดปัญหาท่อโก่ง
(เกิดจากผนังท่อด้านหนึ่งร้อนมากกว่าอีกด้านหนึ่ง
เนื้อโลหะแต่ละด้านจึงเกิดการขยายตัวที่ไม่เท่ากัน)
-
ทำการตรวจความสม่ำเสมอของอุณหภูมิภายในเป็นประจำด้วยการใช้
pyrometer
วัดอุณหภูมิ
(pyrometer
คืออุปกรณ์วัดอุณหภูมิด้วยการวัดการแผ่รังสีความร้อนจากวัตถุ)
ฉบับนี้คงต้องขอพอแค่นี้ก่อน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น