แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สะพานข้ามแม่น้ำแคว แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สะพานข้ามแม่น้ำแคว แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2560

อนุสาวรีย์ทหารจีนที่สะพานข้ามแม่น้ำแคว (ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๑๓๐) MO Memoir : Wednesday 26 April 2560

เชิงสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำแควฝั่งตะวันตกมีสิ่งก่อสร้างที่เหมือนกับเป็นแท่งเสาสี่เหลี่ยมต้นหนึ่ง มีตัวหนังสือภาษาจีนเขียนอยู่รอบด้านทั้งสี่ ที่ฐานด้านหนึ่งเขียนเป็นภาษาไทยว่า "อนุสาวรีย์ทหารจีน"
 
ภาษาจีนนั้นเขียนว่าอะไรบ้างผมก็ไม่รู้หรอกครับ แต่ที่โคนเสานั้นมีป้ายกระดาษติดอยู่ มีทั้งฉบับที่เป็นภาษาไทยและภาษาจีน ฉบับภาษาไทยนั้นที่หัวกระดาษบอกว่าเป็น "คำบอกเล่าของศิลาจารึก" ส่วนข้อความนั้นเขียนว่าอย่างไรก็ลองอ่านกันเอาเองในรูปนะครับ
 
ที่ผมติดใจก็คือ เรื่องที่เขาเล่าเอาไว้ในฉบับภาษาไทย

ประเทศไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ่งหนึ่งที่มีการบันทึกเอาไว้ชัดเจนคือการสร้างทางรถไฟของกองทัพญี่ปุ่นเพื่อการลำเลียงปัจจัยต่าง ๆ ไปให้กับทหารที่ทำการสู้รบอยู่ในพม่า เส้นทางรถไฟที่ทำการก่อสร้างมีอยู่ด้วยกัน ๒ เส้นทาง เส้นทางแรกคือเส้นทางจากชุมทางหนองปลาดุก ไปยังจังหวัดกาญจนบุรี ก่อนเชื่อมต่อกับเส้นทางรถไฟในประเทศพม่าทางด้านด่านเจดีย์สามองค์ เป็นเส้นทางที่เรียกว่า "เส้นทางรถไฟสายมรณะ" ในปัจจุบัน
 
เส้นทางที่สองเป็นเส้นทางจากจังหวัดชุมพร เลียบตามแนวถนนที่เป็นถนนเพชรเกษมในปัจจุบัน ไปสิ้นสุดที่ คลองละอุ่น อำเภอละอุ่น จังหวัดระนอง (Memoir ปีที่ ๖ ฉบับที่ ๘๒๗ วันพฤหัสบดีที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๗ เรื่อง "สุดทางรถไฟที่ ละอุ่น ระนอง (ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำตอนที่ ๗๗)")
 
เส้นทางสายกาญจนบุรีนั้นมีบันทึกเอาไว้ชัดเจนว่ามีการใช้เชลยศึกสัมพันธมิตร ร่วมกับแรงงานกรรมกรก่อสร้าง (ชาวจีนที่มาตั้งรกรากในมาลายู และชาวมลายู) ในขณะที่เส้นทางสายระนองนั้นจะใช้แรงงานกรรมกรก่อสร้างเป็นหลัก
 
จะว่าไปแล้ว จำนวนกรรมกรก่อสร้างในเส้นทางสายกาญจนบุรีที่เสียชีวิตในระหว่างการก่อสร้างอาจจะมีจำนวนที่มากกว่าจำนวนเชลยศึกทหารสัมพันธมิตรที่เสียชีวิตเสียอีก แต่ประวัติศาสตร์แทบไม่มีการกล่าวถึงแรงงานเหล่านั้น นั่นอาจเป็นเพราะเขาเหล่านั้นต้องเข้าไปทำการก่อสร้างในเขตป่าลึก ไม่ใช้ใกล้กับตัวจังหวัดเหมือนดังเช่นการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำแคว
 
ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ ในระหว่างที่กองทัพญี่ปุ่นรบกับกองทัพจีนนั้น ทางกองทัพญี่ปุ่นสามารถปิดการติดต่อทางทะเลของกองทัพจีนได้ ทำให้การส่งการสนับสนุนของอังกฤษกับสหรัฐอเมริกาให้กับกองทัพจีนต้องทำทางบก เส้นทางที่ใช้คือจากอินเดีย ผ่านตอนเหนือของประเทศพม่า และเข้าจีนตอนใต้ ถนนเส้นนี้ในเชตประเทศพม่ามีชื่อว่า "Ledo road" แต่พอเข้าเขตประเทศจีนแล้วมีชื่อเป็น "Burma road"
 
นักประวัติศาสตร์บางรายให้ความเห็นว่า เพราะถนนเส้นนี้ ร่วมกับการยึดทรัพย์ของประเทศญี่ปุ่นในต่างประเทศ และการไม่ขายน้ำมันให้กับประเทศญี่ปุ่น จีงทำให้ญี่ปุ่นจำเป็นต้องเข้ายึดครองภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อเข้าครอบครองแหล่งน้ำมันในอินโดนีเซีย และเข้าไปปิดเส้นทาง Ledo road ทำให้จำเป็นต้องเดินทัพผ่านประเทศไทยให้ได้โดยเร็ว แผนการนี้จึงเป็นแผนการที่เรียกว่าเขียนขึ้นกันอย่างเร่งด่วน ไม่ใช่สิ่งที่วางแผนเอาไว้ล่วงหน้าหลายปีก่อนหน้า (หลังจากไทยมีปัญหากรณีพิพาทอินโดจีนกับฝรั่งเศส ฝรั่งเศสได้ให้ญี่ปุ่นยกกองทัพเข้ามาดูแลเมืองขึ้นในภูมิภาคนี้แทน (ตอนนั้นทั้งฝรั่งเศสแพ้เยอรมันไปเรียบร้อยแล้ว) เรียกว่ากองทัพญี่ปุ่นมารออยู่ในเขมรแล้ว พร้อมที่จะเคลื่อนทัพทางรถไฟจากอรัญประเทศเข้าสู่กรุงเทพได้ทันที)
 
รูปที่ ๑ มองย้อนออกไปทางสะพานข้ามแม่น้ำแคว

รูปที่ ๒ อีกมุมหนึ่งของอนุสาวรีย์

รูปที่ ๓ คำบอกเล่าที่ติดไว้ที่ฐานอนุสาวรีย์ ที่เห็นว่ามีข้อความที่น่าสงสัยในเรื่องความถูกต้อง โดยเฉพาะเรื่องที่กล่าวถึง การใช้เชลยศึกทหารจีนมายืนป้องกันสะพานไม่ให้เครื่องบินทิ้งระเบิดใส่ มีศพตายเต็มแม่น้ำจนน้ำเป็นสีแดงไปหมด ก็เป็นเรื่องที่ส่วนตัวแล้วต้องบอกว่าไม่เคยได้ยินมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล่าของทางฝ่ายไทยหรือบันทึกของเชลยศึกผู้รอดชีวิต 

รูปที่ ๔ นอกจากภาษาไทยแล้วก็มีภาษาจีนด้วย ใครอ่านได้ก็ลองอ่านเอาเองก็แล้วกันครับ

รูปที่ ๕ มองย้อนกลับไปยังฝั่งตรงข้ามที่ยังมีตำแหน่งสะพานไม้ข้ามแม่น้ำแควอีกสะพาน คาดว่าตำแหน่งที่ยืนถ่ายรูปนี้น่าจะเป็นอีกฝั่งหนึ่งของสะพานไม้ข้ามแม่น้ำแคว (Memoir ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๔๔๔ วันศุกร์ที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เรื่อง "ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๑๗ สะพานรถไฟข้ามแม่น้ำแควมีสองสะพาน")

ในขณะนั้นอังกฤษยังแทบจะเอาตัวไม่รอดจากเยอรมัน ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าความพร้อมของอังกฤษในการสู้รบในภูมิภาคนี้จะมี สิ่งที่พอจะอ่าน (ต้องอ่านระหว่างบรรทัดนะ) ได้จากประวัติศาสตร์คืออังกฤษคาดหวังว่าไทยจะไม่ยอมให้กองทัพญี่ปุ่นเข้าประเทศได้ง่าย ๆ เพื่อที่ทางอังกฤษเองจะได้มีเวลาเตรียมตัว แต่ทางรัฐบาลไทยในขณะนั้นไม่เล่นด้วย เพราะไม่รู้ว่าทำไปต้องให้คนไทยยอมเจ็บตัวเพื่อผลประโยชน์ของอังกฤษ (ไทยรู้อยู่แล้วว่ารบไปก็แพ้อยู่ดี และเป้าหมายของญี่ปุ่นนั้นไม่ใช่ประเทศไทย) ผลก็คือรบกันอยู่แค่วันเดียวแล้วก็ปล่อยให้ทัพญี่ปุ่นเดินทางประเทศไปดื้อ ๆ และนี่คงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลอังกฤษเคืองแค้นประเทศไทยมาก

ในช่วงแรกของการรบในพม่า ทหารอังกฤษและชนเผ่ากลุ่มน้อย (อังกฤษไม่ใช้ทหารพม่า และใช้ชนกลุ่มน้อย เพราะคนพม่าเองก็ต้องการอิสระภาพจากอังกฤษ ตอนนั้นนายพลอองซานอยู่ข้างญี่ปุ่นด้วยซ้ำไป) ถอยร่นไม่เป็นขบวน ต้องเข้าไปตั้งหลักในอินเดีย เส้นทาง Ledo road ก็ถูกตัดขาด แต่ด้วยความยากลำบากในการส่งกำลังบำรุงของกองทัพญี่ปุ่น และการที่เส้นทางดังกล่าวสำคัญต่อการอยู่รอดของกองทัพจีน ทำให้ทางกองทัพอังกฤษและกองทัพจีนสามารถเข้ามาเปิดเส้นทางนี้ได้ใหม่ ดังนั้นทหารจีนที่รบกับทหารญี่ปุ่นนั้นทำการรบอยู่ทางตอนเหนือของประเทศพม่า ด้านที่ติดกับพรมแดนจีน แม้แต่ในช่วงหลังสงครามที่กองทัพอังกฤษยกตีกองทัพญี่ปุ่นถอยร่นมายังพรมแดนประเทศไทย ก็ใช้กองกำลังทหารจากอินเดียเป็นหลัก
 
แรงงานที่ใช้ในการก่อสร้างสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำแคว และช่วงที่ต่อออกไปจากจังหวัดกาญจนบุรี (อย่างน้อยก็ไปจนถึงช่องเขาขาดในปัจจุบัน) นั้น ประวัติศาสตร์ก็บันทึกเอาไว้ว่าใช้แรงงานเชลยศึกที่เป็นคนผิวขาวเป็นหลัก ไม่ได้เป็นเชลยศึกทหารจีน จะว่าไปค่ายเชลยศึกแถวตัวจังหวัดกาญจนบุรีก็แทบจะไม่มีรั้วกั้นการหลบหนีด้วยซ้ำ แถมรอบข้างเป็นป่า ทำให้ฝรั่งผิวขาวหลบหนีได้ยากเพราะไม่รู้จักการดำรงชีพในป่า และแม้จะหลบหนีออกจากค่าย แต่ด้วยรูปร่างที่แตกต่างไปจากคนท้องถิ่นและความที่เป็นที่ไม่ชอบของคนท้องถิ่น ก็ทำให้หาตัวได้ง่าย แต่ถ้าเป็นคนจีนก็อีกเรื่องหนึ่ง

รูปที่ ๖ สุดเส้นทางรถไฟสายมรณะที่ยังคงหลงเหลืออยู่ฝั่งไทย ที่น้ำตกไทรโยคน้อย


รูปที่ ๗ มองย้อนจากศาลาพักผู้โดยสารที่สถานีไทรโยคน้อย ไปยังเส้นทางที่มาจากสถานีน้ำตก

ฉบับนี้ก็ถือเสียว่าเป็นเรื่องราวเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ในบ้านเราเรื่องหนึ่งก็แล้วกันครับ

วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2558

ทางแยกลงแควน้อยที่ท่ากิเลนและลุ่มสุ่ม (ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๙๐) MO Memoir : Thursday 5 March 2558

บ่อยครั้งที่สิ่งที่ปรากฏอยู่ในแผนที่เก่า บ่งบอกถึงสิ่งที่เคยมีในอดีตที่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรในเอกสารไหนอีกหรือเปล่า

หลังจากที่กองทัพญี่ปุ่นสร้างเส้นทางรถไฟจากสถานีหนองปลาดุกเชื่อมเข้ากับเส้นทางรถไฟในประเทศพม่าได้สำเร็จ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ก็ทำให้มีเส้นทางรถไฟจากท่าเรือคลองเตย ผ่านกรุงเทพ เข้าสู่ประเทศพม่าได้ และเส้นทางนี้ก็ได้กลายเป็นเป้าหมายการโจมตีทางอากาศของทางฝ่ายสัมพันธมิตรเพื่อตัดการส่งกำลังบำรุงของกองทัพญี่ปุ่นที่รบกับอังกฤษอยู่ในพม่า โดยจุดที่เป็นเป้าหมายสำคัญในการตัดเส้นทางลำเลียงสายนี้คือสะพานพระราม ๖ ที่ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาและสะพานที่ข้ามแม่น้ำแควน้อย
 
เหตุผลที่ต้องทำลายสะพานพระราม ๖ ด้วยคิดว่าก็คงเป็นเพราะในขณะนั้นท่าเรือที่เรือเดินทะเลขนาดใหญ่เข้าได้ก็มีแต่ท่าเรือคลองเตยที่อยู่ทางด้านฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา และยังเป็นท่าเรือที่มีรถไฟเข้าถึง ในขณะที่ทางแม่น้ำท่าจีนหรือแม่น้ำแม่กลองนั้นไม่มีท่าเรือสำหรับให้เรือเดินทะเลขนาดใหญ่เข้าเทียบท่าได้ ส่วนทางใต้ก็มีท่าเรือที่สงขลาที่มีรถไฟเข้าถึง แต่เส้นทางดังกล่าวก็ถูกตัดด้วยการทิ้งระเบิดทำลายสะพานรถไฟที่สุราษฏร์ธานีและที่ชุมพร
 
แต่ในยุคนั้นการเดินทางจากกรุงเทพไปยังกาญจนบุรียังมีอีกเส้นทางหนึ่งคือทางน้ำ จากแม่น้ำเจ้าพระยาเข้าสู่คลองภาษีเจริญ เพื่อออกสู่แม่น้ำท่าจีน จากนั้นก็เข้าสู่คลองดำเนินสะดวกเพื่อเข้าสู่แม่น้ำแม่กลอง ก็จะไปยังจังหวัดกาญจนบุรีและเลยต่อไปยังไทรโยคได้โดยผ่านทางลำน้ำแควน้อย แต่จะว่าไปแล้วก็ยังห่างจากชายแดนพม่าอยู่
 
เส้นทางรถไฟสายนี้จะว่าไปแล้วก็สร้างไปตามแนวเลียบลำน้ำแควน้อย เดาว่าคงเป็นเพราะใกล้แหล่งน้ำและยังสามารถใช้ลำน้ำเป็นเส้นทางการเดินทางไปยังจุดต่าง ๆ ในระหว่างการก่อสร้างทางรถไฟ
  
จากแผนที่ของกองทัพอังกฤษที่ทำขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ้นสุดใหม่ ๆ พบว่าพ้นจากสะพานข้ามแม่น้ำแควไปแล้วยังมีอีก ๒ สถานีที่มีการสร้างทางแยกย่อยจากเส้นทางหลักเข้าหาลำน้ำแควน้อย จุดแยกหนึ่งอยู่ที่ "สถานีท่ากิเลน" (ดูรูปที่ ๑ ถึง ๓) ท่าทางจะเป็นจุดแยกหลักจุดหนึ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าทางแยกดังกล่าวสร้างขึ้นก่อนหรือหลังสะพานข้ามแม่น้ำแควจะถูกทำลาย เพราะถ้าสะพานข้ามแม่น้ำแควถูกทำลาย ก็สามารถใช้เรือขนยุทธปัจจัยมาขึ้นรถไฟที่นี้และลำเลียงเข้าสู่พม่าได้
  
อีกทางแยกหนึ่งปรากฏที่ "สถานีลุ่มสุ่ม" (ปัจจุบันเป็นเพียงป้ายหยุดรถ) ที่อยู่เลยท่ากิเลนขึ้นไปหน่อย แต่อยู่ก่อนถึงถ้ำกระแช (รูปที่ ๔ และ ๕)
  
เส้นทางแยกดังกล่าวถูกรื้อทิ้งเมื่อใดก็ไม่อาจทราบได้ และเคยมีกล่าวเอาไว้ในประวัติศาสตร์ที่ไหนบ้างก็ไม่ทราบเหมือนกัน ร่องรอยของทางแยกดังกล่าวที่สถานีท่ากิเลนคิดว่ายังคงมีอยู่ คือแนวถนนตามเส้นประสีเหลืองในรูปที่ ๒ (คาดเดาเอาเองนะ) ส่วนร่องรอยทางแยกที่บ้านลุ่มสุ่มนั้นดูเหมือนว่าจะไม่มีหลงเหลือแล้ว

แผนที่ของบริเวณดังกล่าวนำมาจาก
สถานีท่ากิเลน http://www.nla.gov.au/apps/cdview/?pi=nla.map-vn2018580-s12-v
สถานีลุ่มสุ่ม http://www.nla.gov.au/apps/cdview/?pi=nla.map-vn2018580-s11-v
  
รูปที่ ๑ ภาพขยายทางแยกจากสถานีท่ากิเลนลงสู่แม่น้ำแควน้อย

รูปที่ ๒ ภาพถ่ายดาวเทียมบริเวณสถานีท่ากิเลนในปัจจุบัน แนวเส้นประสีเหลืองคือแนวถนนที่สงสัยว่าเดิมคือทางรถไฟที่แยกจากสถานีท่ากิเลนลงสู่แม่น้ำแควน้อย
รูปที่ ๓ ภาพบริเวณกว้างของแผนที่ที่ปรากฏตำแหน่งสถานีรถไฟท่ากิเลน

รูปที่ ๔ ทางแยกจากสถานีลุ่มสุ่มสู่ลำน้ำแควน้อย (ในกรอบสีเหลือง)

รูปที่ ๕ ภาพบริเวณกว้างของแผนที่ที่ปรากฏตำแหน่งสถานีรถไฟลุ่มสุ่ม (ในกรอบสีเหลือง)

วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำตอนที่ ๒๐ การทิ้งระเบิดสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำแคว MO Memoir : Tuesday 3 July 2555


ชาวยุโรปเป็นพวกที่ชอบบันทึกเหตุการณ์ ทำให้บ่อยครั้งหรืออาจเรียกได้ว่าเป็นเรื่องปรกติที่เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในบ้านเราในอดีตต้องไปหาอ่านจากบันทึกของชาวต่างชาติที่เข้ามามีบทบาทในประเทศไทยในสมัยนั้น

ในการอ่านสิ่งที่ชาวต่างชาติเขียนนั้น ต้องแยกเป็นสิ่งที่เขาเห็นหรือสัมผัสจริง สิ่งที่เขาได้ยินได้ฟังมาจากคนอื่นหรือผู้อื่นที่อยู่ในเหตุการณ์ และสิ่งที่เขาสรุปเอาโดยใช้ภูมิหลังทางสังคมของเขาเอง

Memoir ฉบับนี้เลยขอย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ประวัติศาสตร์เหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทย และมีการนำเอาสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าวไปสร้างเป็นภาพยนต์ ซึ่งก็ต้องขอบอกก่อนว่าเนื้อหาในภาพยนต์นั้นไม่ตรงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง แต่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้คนทั่วโลกรู้จักสถานที่ดังกล่าว ซึ่งก็คือสะพานข้ามแม่น้ำแควที่เคยได้เล่าไปแล้ว คราวก่อนนั้นเป็นเรื่องของการสร้าง (Memoir ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๔๔๔ วันศุกร์ที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เรื่อง "ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำตอนที่ ๑๗ สะพานรถไฟข้ามแม่น้ำแควมีสองสะพาน) คราวนี้เป็นเรื่องของการทำลายดูบ้าง

รูปที่ ๑ หนังสือเรื่อง "Burma Road" เขียนโดย Donovan Webster และแผนที่เส้นทาง Burma Road (ในกรอบสีน้ำเงิน) อันที่จริง Burma Road มี ๒ ส่วนคือส่วนจากเมือง Ledo ในอินเดียมาจนถึงพรมแดนจีนในพม่าจะชื่อ Ledo Road และส่วนจากพรมแดนพม่าเข้าไปในจีนจะเรียก Burma Road
(รูปแผนที่เอามาจาก http://en.wikipedia.org/wiki/File:Burma_and_Ledo_Road_1944_-_1945.jpg

ผมไปได้หนังสือเล่มข้างบนจากร้านหนังสือลดราคาที่อยู่ชั้นใต้ดินอาคารจัตุรัสจามจุรี หลังจากอ่านประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ ๒ ภาคพื้นยุโรปตะวันออกมาหลายเล่มแล้วก็เลยลองเปลี่ยนมาอ่านเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสมรภูมิที่ไม่ค่อยมีคนกล่าวถึงเท่าไรนัก แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยมาก นั่นก็คือสมรภูมิในพม่า

เมื่อกองทัพญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่ประเทศไทยเพื่อใช้เป็นทางผ่านไปบุกมาเลเซียและพม่าของอังกฤษนั้น สงครามทางด้านมาเลเซียจบลงอย่างรวดเร็วเมื่อกองทัพญี่ปุ่นยึดสิงคโปร์ได้ ส่วนสงครามในประเทศพม่านั้นยังยืดเยื้ออยู่เพราะกองทัพอังกฤษหลบหนีเข้าไปในเขตอินเดีย ทำให้บริเวณป่าดงดิบบริเวณชายแดนระหว่างพม่ากับอินเดียนั้นเป็นบริเวณที่อาจเรียกได้ว่าไม่มีกองกำลังฝ่ายใดมีอำนาจยึดครองเต็มที่

สหรัฐอเมริกาที่เข้าร่วมรบกับอังกฤษเพื่อทำสงครามกับญี่ปุ่นนั้นมองไม่เห็นเหตุผลใดที่จะช่วยอังกฤษรบเอาชนะญี่ปุ่นเพื่อให้อังกฤษได้พม่าที่เป็น "ประเทศเมืองขึ้น" ของอังกฤษกลับไปปกครองเหมือนเดิม เพราะจะว่าไปการกระทำของอังกฤษที่ส่งกองทัพเข้ายึดครองประเทศต่าง ๆ ก็ไม่ต่างอะไรกับกองทัพของฮิตเลอร์ที่ส่งกองทัพเข้ายึดครองประเทศต่าง ๆ ในยุโรปเช่นเดียวกัน แต่อเมริกาก็ยังจำเป็นต้องป้องกันไม่ให้ญี่ปุ่นเข้าครอบครองพม่าเอาไว้ทั้งหมด สาเหตุก็เพราะ ........

อันที่จริงสงครามโลกครั้งที่สองด้านเอเซียอาจเรียกได้ว่าเกิดก่อนทางยุโรปถึง ๘ ปี คือเริ่มจากการที่กองทัพญี่ปุ่นบุกประเทศจีนในปีค.ศ. ๑๙๓๑ (พ.ศ. ๒๔๗๔) และเริ่มขยายอาณาเขตในประเทศจีนออกไปเรื่อย ๆ ผลการกระทำดังกล่าวทำให้ญี่ปุ่นเกิดความขัดแย้งทางการฑูตกับมหาอำนาจตะวันตกที่เคยมีบทบาทอยู่เดิมในย่านเอเซียตะวันออกว่าญี่ปุ่นจะเข้ามามีบทบาทแทน จนนำไปสู่การปิดกั้นทางเศรษฐกิจ ซึ่งก็เป็นสาเหตุที่นำไปสู่การส่งกองเรือไปโจมตีฐานทัพเรือของสหรัฐอเมริกาที่เพิร์ลฮาเบอร์ในเดือนธันวาคมปีค.ศ. ๑๙๔๑ (พ.ศ. ๒๔๘๔) พร้อม ๆ กับการส่งกำลังเข้ายึดดินแดนต่าง ๆ ทางเอเซียตะวันออกและเอเซียตะวันออกเฉียงใต้

ในปีค.ศ. ๑๙๔๑ นี้ ผู้แสดงนำของสงครามโลกครั้งที่สองถ้าเป็นภาพพื้นยุโรปก็มีการเปลี่ยนผู้แสดงหลักจากระหว่างเยอรมันกับอังกฤษเป็นระหว่างเยอรมันกับสหภาพโซเวียตแทน (เมื่อเยอรมันบุกรัสเซียในเดือนมิถุนายนในยุทธการ Barbarossa) และด้านภาพพื้นเอเซียก็มีการเปลี่ยนจากญี่ปุ่นกับจีนเป็นญี่ปุ่นกับสหรัฐอเมริกาแทน

ในการรบกับญี่ปุ่นนั้น สหรัฐอเมริการู้ดีว่าสงครามจะเสร็จสิ้นก็ต่อเมื่อกองทัพสหรัฐฯ สามารถยกพลขึ้นบกได้ที่ประเทศญี่ปุ่น แต่การจะยกพลขึ้นบกได้นั้นจำเป็นต้องมีฐานที่มั่นที่อยู่ใกล้กับเกาะญี่ปุ่นก่อน ซึ่งก็มีทางเลือกอยู่ ๒ แนวทางคือ ผ่านทางเกาะต่าง ๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิก หรือไม่ก็ใช้จีนแผ่นดินใหญ่เป็นฐาน

ในช่วงแรกนั้นเมื่อยังไม่มีการตัดสินใจว่าจะเลือกเส้นทางใด สงครามระหว่างจีนกับญี่ปุ่นบนแผ่นดินใหญ่จึงมีความสำคัญต่อการทำสงครามของสหรัฐอเมริกา เพราะตราบเท่าที่จีนอยู่ในสงคราม กองทัพญี่ปุ่นก็ต้องคงกองกำลังจำนวนมากเอาไว้ในจีน ทำให้ไม่สามารถเคลื่อนย้ายกองกำลังเหล่านี้ไปรบกับสหรัฐอเมริกาในสมรภูมิภาคพื้นแปซิฟิก และถ้าหากกองทัพจีนสามารถเอาชนะกองทัพญี่ปุ่นได้ สหรัฐอเมริกาก็จะสามารถใช้จีนแผ่นดินใหญ่เป็นฐานเพื่อบุกประเทศญี่ปุ่นได้

เพื่อให้กองทัพจีนสามารถยันกองทัพญี่ปุ่นเอาไว้ได้ จึงจำเป็นต้องมีการลำเลียงยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ไปให้จีนโดยใช้ฐานที่มั่นของอังกฤษในอินเดีย ขนส่งทางเครื่องบินบินข้ามภูเขาหิมาลัย ซึ่งเรียกว่าแทบจะเกินความสามารถของเครื่องบินในยุคนั้น (นักบินพวกนี้เรียกตัวเองว่า Hump pilot) อีกแนวความคิดหนึ่งก็คือการสร้างถนนจากอินเดีย ตัดผ่านบริเวณภูเขาตอนเหนือของประเทศพม่า และเข้าไปยังจีนตอนใต้ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม "Burma Road" 
 
(ตอนนั้นญี่ปุ่นยึดเมืองท่าต่าง ๆ ของจีนและแนวฝั่งทะเลจากญี่ปุ่นลงมาถึงอินโดนีเซียก็ถูกญี่ปุ่นคุมเอาไว้หมด เส้นทางไปอินเดียจากสหรัฐต้องเริ่มจากสหรัฐอเมริกา ลงไปทางอเมริกาใต้ แล้วจึงเข้าแอฟริกา จากนั้นจึงมายังตะวันออกกลางและเข้าสู่อินเดียอีกที)

ถึงแม้ว่าในช่วงถัดมาทางสหรัฐอเมริกาจะตัดสินใจเลือกว่าจะบุกประเทศญี่ปุ่นโดยการเข้ายึดเกาะต่าง ๆ ที่อยู่รอบประเทศญี่ปุ่นเพื่อใช้เป็นฐานที่มั่นสำหรับยกพลขึ้นบก (น่าจะเป็นเพราะทนไม่ไหวกับการคอรัปชั่นของผู้นำทัพจีน เพราะไม่ยอมส่งสิ่งของให้ลูกน้องสู้รบ ด้วยกลัวว่าลูกน้องจะมีกำลังเหนือตน) แต่ก็ยังจำเป็นที่จะต้องคงความสามารถของกองทัพจีนให้รบกับกองทัพญี่ปุ่นได้เพื่อป้องกันไม่ให้กองทัพญี่ปุ่นเคลื่อนย้ายกองกำลังในจีนไปรบกับสหรัฐ ในขณะเดียวกันกองทัพสหรัฐอเมริการ่วมกับกองทัพจีนก็ช่วยกันกดดันกองทัพญี่ปุ่นลงมาจากทางเหนือของประเทศพม่า ในขณะที่กองทัพอังกฤษซึ่งใช้ทหารอินเดียเป็นหลักก็กดดันกองทัพญี่ปุ่นเข้ามาทางด้านตะวันตกและตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศพม่า

บรรยากาศการถอยหนีของกองทัพญี่ปุ่นนั้นเรียกว่าสยดสยองมาก ผู้ป่วยที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ก็จะถูกปล่อยทิ้งเอาไว้หรือไม่ก็ฉีดยาให้ตายเพื่อป้องกันไม่ให้ตกเป็นเชลย หรือไม่ก็ได้รับแจกลูกระเบิดมือเพื่อให้ฆ่าตัวตาย (วิธีที่นิยมทำกันคือนั่งกอดคอหรือล้อมวงกันแล้วดึงสลักลูกระเบิดที่ถือเอาไว้กลางวง)
ในขณะเดียวกันก็มีการตัดการส่งกำลังบำรุงของกองทัพญี่ปุ่นด้วยการทิ้งระเบิดทำลายสะพานข้ามแม่น้ำต่าง ๆ ในประเทศพม่า รวมถึงสะพานข้ามแม่น้ำแควในประเทศไทย

เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นไม่มีสินแร่เหล็กที่เป็นวัตถุดิบ ในการสร้างสะพานเหล็กข้ามแม่น้ำแควนั้นจึงต้องใช้วิธีรื้อเอารางและโครงสร้างเหล็กจากเส้นทางรถไฟที่ไม่ใช้ประโยชน์หรือเห็นว่าไม่ประโยชน์สำหรับทางทหารมาใช้ ในการทิ้งระเบิดถล่มสะพานข้ามแม่น้ำแควนั้นทางกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกาใช้วิธีบินจากฐานทัพในอินเดีย เลียบตามชายฝั่งทะเล (หลบปืนต่อสู้อากาศยาน) เพื่อมาทิ้งระเบิดสะพานข้ามแม่น้ำแคว จากนั้นก็บินกลับ

สะพานข้ามแม่น้ำแควคงจะถูกทิ้งระเบิดทำลายหลายครั้ง ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากี่ครั้ง แต่เมื่อถูกทำลายลงไปก็ถูกซ่อมแซมให้กลับมาใช้งานได้ดังเดิมทุกครั้ง จนกระทั่งครั้งสุดท้ายในวันจันทร์ที่ ๒ เมษายนปีค.ศ. ๑๙๔๕ (พ.ศ. ๒๔๘๘) ที่เครื่องบินทิ้งระเบิด B-24 บินโดยนักบินอายุ ๒๐ ต้น ๆ ชื่อ Charles F. Linamen นำเครื่องบินทิ้งระเบิดสะพานเหล็กขาดไปสองช่วงสะพาน ซึ่งทำให้สะพานเหล็กต้องปิดการถาวรอย่างสิ้นเชิงเพราะญี่ปุ่นไม่มีเหล็กที่จะนำมาซ่อมสะพาน (ดูมุมบนซ้ายหน้า 302 ของหนังสือ)

แต่ก็ยังมีสะพานไม้ที่อยู่ห่างออกจากสะพานเหล็กไปเพียง ๑๐๐ เมตรยังคงอยู่ ดังนั้นในวันรุ่งขึ้นในวันอังคารที่ ๓ เมษายนปีค.ศ. ๑๙๔๕ (พ.ศ. ๒๔๘๘) ด้วยเครื่องบินลำเดิมและนักบินชุดเดิมก็ได้รับหน้าที่ให้กลับไปทำลายสะพานไม้อีก ตามแผนการนั้นจะมีการบินวนทิ้งระเบิดหลายรอบ โชคดีที่การบินวนทิ้งในรอบแรกนั้นลูกระเบิดลงเป้าหมายพอดี (ในหนังสือบอกว่าเข้าตรงกลางเป้า คือระหว่างกลางรางรถไฟสองรางบนสะพาน) ทำให้สะพานไม้ใช้งานไม่ได้ไปอีกสะพาน (ดูมุมล่างซ้ายหน้า 303 ของหนังสือ) การบินวนทิ้งในรอบที่สองและสามนั้นไม่เข้าเป้าหมาย แถมเครื่องบินถูกยิงได้รับความเสียหายในการวนรอบที่สามเสียอีก

ความเสียหายดังกล่าวทำให้เครื่องบินไม่สามารถบินกลับฐานได้ ต้องร่อนลงฉุกเฉิน แต่ก็โชคดีที่เป็นการร่อนลงในเขตที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพอังกฤษ

เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาผมมีโอกาสแวะไปที่ร้านหนังสือดังกล่าว ปรากฏว่าหนังสือเล่มนี้ที่เคยเห็นวางขายเอาไว้หลายเล่มกลับไม่มีเหลือแล้ว ก็เลยถือโอกาสสแกนเอาเฉพาะหน้าที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่เล่ามาข้างต้นมาให้อ่านกันเล่น ๆ เป็นตัวอย่าง เกรงว่าถ้าทำมากกว่านี้จะเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ไป

รูปที่ ๒ ประวัติของนักบินเล่าไว้ในหน้าที่ 299

รูปที่ ๓ ในหน้า 301 กล่าวถึงสะพานข้ามแม่น้ำแควที่เป็นสะพานไม้และสะพานเหล็กทั้งสองสะพาน

รูปที่ ๔ เหตุการณ์ช่วงทิ้งระเบิดสะพานเหล็ก (หน้า 302) และทิ้งระเบิดสะพานไม้ (หน้า 303)

วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๑๗ สะพานรถไฟข้ามแม่น้ำแควมีสองสะพาน MO Memoir : Friday 4 May 2555


ก่อนอื่นก็ต้องขอแสดงความยินดีกับสาวน้อยนักแสดงและสาวน้อยหน้าบานที่ผ่านการสอบปกป้องวิทยานิพนธ์เมื่อบ่ายวันนี้ไปได้ด้วยดีแม้ว่าจะมีการมั่วคำตอบแบบสุด ๆ อยู่บ้าง ซึ่งเรื่องนี้จำเป็นต้องกล่าวถึงใน Memoir ฉบับถัดไป

ตอนนี้เราก็ยังเหลืออีกเพียง ๒ คนที่ต้องรออีก ๑๐ วัน

ผ่านเรื่องหนัก ๆ มาหลายเรื่องแล้ว คราวนี้ก็มายังเรื่องเบา ๆ ย้อน ประวัติศาสตร์บ้าง แต่ก็ยังเกี่ยวกับรถไฟอยู่ดี

เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมาบังเอิญได้มีโอกาส (อย่างไม่ตั้งใจ) ไปค้างที่โรงแรมแห่งหนึ่งใกล้กับสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำแคว ทำให้นึกถึงการเดินทางไปเที่ยวที่นั่นเมื่อสองปีก่อนหน้า คือตอนนั้นได้ไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์สงครามที่อยู่ริมแม่น้ำใกล้ ๆ กับเชิงสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำแควฝั่งตัวจังหวัดกาญจนบุรีด้วย และที่ข้างในพิพิธภัณฑ์นั้นบริเวณริมฝั่งแม่น้ำก็มีซากคอสะพานข้ามแม่น้ำแควอยู่ด้วย ตรงนั้นเขาบอกว่าเป็นซากสะพานเก่าที่สร้างขึ้นจากไม้ ก่อนจะถูกรื้อถอนออกไป

รูปที่ ๑ หน้าปกหนังสือ "พันเอกแห่งท่ามะขาม Philip Toosey และสะพานข้ามแม่น้ำแคว)

การไปเที่ยววันนั้นทำให้ผมนึกถึงหนังสือเล่มหนึ่งที่ซื้อมาจากร้านขายหนังสือลดราคาที่อยู่ชั้นใต้ดินอาคารจตุรัสจามจุรี หนังสือดังกล่าวชื่อ "The colonel of Tamarkan : Philip Toosey and the bridge on the river Kwai" ซึ่งผมของแปลเป็นไทยว่า "พันเอกแห่งท่ามะขาม Philip Toosey และสะพานข้ามแม่น้ำแคว) หนังสือดังกล่าวเขียนโดยJulie Summers ผู้เป็นหลานของพันเอก Toosey

เนื้อหาในหนังสือเป็นอย่างไรนั้นผมยังไม่มีเวลาอ่าน เพราะต้องอ่านเล่มอื่นอีกสามสี่เล่มให้จบก่อนจึงจะได้คิวอ่านหนังสือเล่มนั้น แต่ในหนังสือเล่มนั้นมีรูปหนึ่งที่ผมชอบก็คือภาพถ่ายทางอากาศของสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำแควซึ่งแสดงให้เห็นแนวทางรถไฟและบริเวณที่พักเชลยศึกอย่างชัดเจน ตอนที่ญี่ปุ่นสร้างสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำแควนั้นได้สร้างสะพานขึ้นสองสะพาน สะพานหนึ่งเป็นสะพานไม้สร้างเสร็จในเดือนกุมภาพันธ์ปีค.ศ. ๑๙๔๓ (พ.ศ. ๒๔๘๖) ส่วนสะพานเหล็กสร้างเสร็จในเดือนเมษายนปีเดียวกัน

รูปที่ ๒ การทิ้งระเบิดสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำแควในช่วงต้นปีค.ศ. ๑๙๔๕ (พ.ศ. ๒๔๘๘) สะพานเหล็กจะอยู่ทางด้านหน้า ส่วนสะพานไม้จะอยู่ทางด้านหลัง (รูปจาก http://www.awm.gov.au/collection/item/P01433.003)

รูปที่ ๓ สะพานเหล็กหลังโดยระเบิดทำลาย เข้าใจว่าเป็นภาพต่อเนื่องจากรูปที่ ๑
(รูปจาก http://www.awm.gov.au/collection/item/P00502.001)

รูปที่ ๔ ภาพถ่ายทางอากาศของกองทัพอากาศอังกฤษในปีค.ศ. ๑๙๔๕ (พ.ศ. ๒๔๘๘) แสดงสะพานเหล็กและสะพานไม้ และบริเวณที่ตั้งค่ายเชลยศึกซึ่งในหนังสือบอกว่าอยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของสะพานไม้ แต่เมื่อเทียบกับแผนที่ที่ถูกต้องแล้วพบว่าภาพที่แสดงในหนังสือเป็นภาพกลับหัว รูปนี้ได้ทำการหมุนภาพเพื่อให้ได้ทิศที่ถูกต้องแล้วคือด้านบนของรูปคือทิศเหนือ (รูปที่ ๙ จากหนังสือ)

รูปที่ ๕ ภาพถ่ายดาวเทียมของบริเวณเดียวกันกับรูปที่ ๒ เมื่อเทียบกับรูปที่ ๒ แล้วคิดว่าแนวเส้นทางรถไฟชั่วคราวที่วิ่งผ่านสะพานไม้ควรจะเป็นแนวตามเส้นประสีเหลืองที่แสดงในรูป โดยฟากตัวจังหวัดกาญจนบุรีนั้นน่าจะอยู่บนแนวถนนนิวซีแลนด์

สะพานดังกล่าวพอสร้างเสร็จก็เป็นเป้าหมายของการทิ้งระเบิดทำลาย กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรประสบความสำเร็จในการทิ้งระเบิดทำลายสะพานเหล็ก (รูปที่ ๒ และ ๓) แต่สะพานไม้ยังคงอยู่ ดังนั้นผมคิดว่าการส่งเสบียงของกองทัพญี่ปุ่นนั้นน่าจะยังดำเนินต่อไปได้อีก

เส้นทางรถไฟสายนี้วางแนวเลียบไปตามลำแม่น้ำแควน้อย น่าจะเป็นเพราะต้องการใช้แม่น้ำเป็นเส้นทางลำเลียงแรงงานและวัตถุดิบในการสร้างทางรถไฟ

ที่เอาเรื่องนี้มาเล่าเพราะเห็นว่าตอนนี้เวลาที่ใคร ๆ ไปเที่ยวสะพานข้ามแม่น้ำแควที่กาญจนบุรี ก็จะไปเยี่ยมชมเฉพาะสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำแควที่เป็นสะพานเหล็กเท่านั้น เรื่องของสะพานไม้สำหรับรถไฟที่สร้างขึ้นมาคู่กันและเสร็จก่อนนั้นมักไม่ค่อยถูกกล่าวถึง Memoir ฉบับนี้ก็เลยถือโอกาสเปลี่ยนบรรยากาศหารูปภาพเก่าบ้างใหม่บ้างมาให้ดูเปรียบเทียบกัน ถือว่าเป็นการพักผ่อนสำหรับผู้ที่สอบเสร็จแล้ว และเป็นการคลายเครียดสำหรับผู้ที่รอสอบอยู่ก็แล้วกัน

รูปที่ ๖ รูปด้านซ้ายมาจากหนังสือหน้า ๑๔๓ บอกว่าเป็นภาพของสะพานเหล็กเมื่อสร้างเกือบเสร็จสมบูรณ์แล้ว บอกว่าถ่ายเอาไว้โดยคนไทยคนหนึ่ง (ไม่มีการระบุชื่อ) ในช่วงฤดูใบไม้ผลิปีค.ศ. ๑๙๔๓ (พ.ศ. ๒๔๘๖) และนำมาให้กับ Arthur Osborne (ทหารรับใช้ของพันเอก Philip Toosey) หลังสงครามสิ้นสุด ส่วนรูปด้านขวาเป็นรูปที่ผมถ่ายเอาไว้เอง พอเทียบแล้วคิดว่ารูปด้านซ้ายน่าจะเป็นมุมมองจากทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ (ฝั่งเส้นทางไปไทรโยค) ไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือ (ฝั่งตัวสถานีจังหวัดกาญจนบุรี)